เคยสงสัยไหมว่ายางระเบิด ยางแตก เกิดจาก อะไร ? และถ้าหากไม่ต้องการพบเจอกับสถานการณ์ดังกล่าว จะมีวิธีการป้องกันอย่างไรบ้าง ? เนื่องจากช่วงนี้อากาศค่อนข้างร้อน รถยนต์ที่ใช้มาเป็นเวลานาน ก็ควรจะเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่ “อาจจะ” เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะมีรายละเอียดที่น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน MrKumka จะเล่าให้ฟังเอง !
“สาเหตุ” ที่ทำให้ยางเกิดการระเบิดหรือแตกได้นั้น มีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย ดังนี้
ไม่ว่าเป็นเติมลมยางน้อยหรือลมซึมออกก็ตาม ส่งผลให้ “แก้มยาง” รับน้ำหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อแรงบดแก้มยางมากขึ้น ก็อาจทำให้ยางแตกหรือระเบิดได้ง่าย ๆ ดังนั้นแนะนำให้เติมลมยางตามความเหมาะ เพื่อการใช้งานรถยนต์ที่ปลอดภัย
รถที่บรรทุกน้ำหนักเกินค่าอัตรารับน้ำหนักสูงสุดที่กำหนดไว้ อาจเสี่ยงต่อการพบเจอกับเหตุการณ์ยางแตกหรือยางระเบิดได้ โดยเฉพาะในส่วนของแก้มยางหรือขอบยางที่เกิดการหัก/แตก เป็นต้น
รวมถึงการใช้ยางผิดประเภทด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น เช่น นำยางรถเก๋งมาใช้กับประเภทอื่น ส่งผลให้การรับน้ำหนักไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจมีบางส่วนที่เสียดสีกับซุ้มล้อรถได้
ยางรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น ยางบวม ยางมีรอยฉีกขาด แก้มยางมีรอยแตกลายงา หรือดอกยางหมดสภาพ ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ยางแตกและระเบิดได้ง่าย ๆ
การตกหลุมอย่างรุนแรงส่งผลให้ “น้ำหนัก” ของตัวรถยนต์ และแรงกดทั้งหมดถ่ายเทมาที่ยาง ส่งผลให้แก้มยางเกิดอาการบวมหรือระเบิดได้
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ายางทุกเส้นจะมี “อัตราการใช้ความเร็วสูงสุด” ระบุเอาไว้เสมอ หากคุณขับขี่รถยนต์ด้วยความเร็วที่มากเกินไป ส่งผลให้ยางเกิดความร้อนสูง ซึ่งความร้อนภายในยางที่เพิ่มขึ้น นับเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เนื้อยางแยกออกจากกัน จนถึงขั้นแตกหรือระเบิดได้เลยล่ะ
เช่น การใช้ยางเปอร์เซ็นต์ที่สภาพไม่เต็มร้อย หรือเน้นยางราคาประหยัด ที่ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ซึ่งในข้อนี้นับว่ามีความเสี่ยงที่จะพบเจอกับเหตุการณ์ยางแตก และยางระเบิดได้มากกว่าสาเหตุอื่น ๆ ก็ว่าได้
หลังจากรู้สาเหตุกันแล้ว ลองสังเกตพฤติกรรมการขับขี่ของตัวเองดูสิว่า กำลังพารถยนต์คู่ใจเดินทางไปหาความเสี่ยงอยู่หรือไม่ หากพบว่ามีพฤติกรรมตามที่เรากล่าวไปเมื่อข้างต้น แนะนำให้ปรับเปลี่ยนโดยด่วน พร้อมกับนำรถยนต์เข้าตรวจสภาพรถเป็นประจำ เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัย ไร้กังวล
สำหรับคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ยางรถยนต์แตก/ระเบิด คุณจะต้องรู้จักสังเกต “อาการเตือน” ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ให้ดี ซึ่งจะมีอาการใดบ้าง ไปดูกันเลย
แม้ว่ารถยนต์จะไม่สามารถพูดถึงความผิดปกติให้คุณเข้าใจ แต่รถยนต์สามารถแสดงอาการต่าง ๆ เพื่อให้คุณรู้เข้าทันได้ ดังนั้นควรหมั่นสังเกตความผิดปกติให้ดี ตรวจสภาพรถก่อนออกเดินทางไกลทุกครั้ง เมื่อเจอปัญหาเร่งแก้ไขโดยเร็วที่สุด เพราะการที่รถยนต์มีอาการแปลก ๆ หมายความว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ ชวนปวดหัว กำลังจะตามมารังควานคุณแล้วยังไงล่ะ !
หากคุณสัมผัสได้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ยางรถยนต์แตก สิ่งแรกที่ควรจำและปฏิบัติก็คือ “ห้ามเหยียบเบรกแรง ๆ” เด็ดขาด ! เนื่องจากการกระทำดังกล่าวจะทำให้รถยนต์ของคุณหมุน รวมถึงไปชนกระแทกกับสิ่งต่าง ๆ เช่น ต้นไม้ ฟุตบาท หรือแม้กระทั่งรถยนต์คันอื่น ๆ จนเป็นเหตุร้ายแรงตามมาได้
นอกจากนี้ยัง “ห้ามเหยียบคลัตช์” เพราะถ้าหากทำแบบนี้ จะทำให้รถของคุณไม่เกาะถนน ส่งผลให้รถอาจเกิดการลอยตัว และบังคับรถได้ค่อนข้างยาก รวมถึง “ห้ามดึงเบรกมือ” ให้พยายามประคับประคองรถยนต์เข้าข้างทาง หรือจุดที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด ด้วยการถอนคันเร่งและจับพวงมาลัยให้นิ่ง ยิ่งคุณมีสติมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาลดลงมากเท่านั้น
แม้ว่า “อุบัติเหตุ” บนท้องถนน จะเป็นสิ่งหลาย ๆ คนไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากเกินจะควบคุมมาก ๆ ดังนั้นหากไม่ต้องการพบเจอปัญหาเพียงลำพัง หรือแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ มากจนเกินไป การซื้อประกันภัยรถยนต์ติดรถเอาไว้ ก็จะช่วยเสริมความมั่นใจให้คุณทุก ๆ การเดินทาง หากไม่รู้ว่าจะซื้อกรมธรรม์กับที่ไหน ที่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม แต่ค่าเบี้ยสบายกระเป๋า MrKumka พร้อมยื่นข้อเสนอดี ๆ ให้คุณตลอดเวลา คลิกเปรียบเทียบประกันรถยนต์ออนไลน์ได้เลย
เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่