การเลือกซื้อประกันรถยนต์ถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่าง ๆ ที่สามารถส่งผลต่อ “เบี้ยประกันรถยนต์” ที่คุณต้องจ่ายในแต่ละปี เลือกคุ้มครองสูง ซ่อมศูนย์ ทุนประกันสูง ฯลฯ ค่าเบี้ยยิ่งสูงตา รวมถึงเรื่อง “อายุของคนขับ” และประเภทการใช้งานรถยนต์ ตรงนี้ย่อมมีผลต่อค่าเบี้ยประกันทั้งสิ้น มิสเตอร์ คุ้มค่า จะพาคุณไปเจาะลึกถึงผลกระทบของปัจจัย ที่มีผลต่อเบี้ยประกัน พร้อมทั้งวิธีที่คุณสามารถคํานวณเบี้ยประกันรถยนต์ และวิธีลดเบี้ยประกันรถยนต์ เพื่อให้คุณเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่คุ้มค่าและเหมาะสม
เบี้ยประกันรถยนต์คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?
เข้าใจก่อนว่าเบี้ยประกันรถยนต์ คือ จำนวนเงินที่ผู้ขับขี่จะต้องจ่ายให้กับบริษัทประกัน เพื่อแลกกับ “ความคุ้มครอง” ความสำคัญของเบี้ยประกันนั้นมาจากการช่วยให้คุณมั่นใจ ว่ารถยนต์คันโปรดจะได้รับความคุ้มครอง ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ เช่น โดนรถชน อุบัติเหตุอื่น ๆ การโจรกรม หรือความเสียหายจากภัยธรรมชาติ
ทั้งนี้ เบี้ยประกันรถยนต์จะไม่เท่ากันในทุกกรณี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุของผู้ขับขี่ ประเภทการใช้งานรถยนต์ และประเภทของประกันที่เลือกซื้อ เป็นต้น ซึ่งเนื้อหาส่วนนี้ มิสเตอร์ คุ้มค่า จะพูดถึงในรายละเอียดต่อไป
ก่อนซื้อประกันรถยนต์ต้องรู้ สำนักงาน คปภ. ประกาศใช้เกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับการทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ เฉพาะการทำประกันรถยนต์ ประเภท 1 โดยต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ เพื่อให้การคิดเบี้ยสะท้อนพฤติกรรมจริง ยุติธรรมกับผู้ขับขี่มากขึ้น โดยเกณฑ์นี้บังคับใช้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ.2568 (เฉพาะรถใหม่) และครอบคลุมรถทุกคันตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
พร้อมที่จะเปรียบเทียบประกันรถยนต์หรือยัง?
หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ
ทำไมอายุของผู้ขับขี่ มีผลต่อเบี้ยประกัน?
เชื่อว่าหลายคนคงเกิดคำถามอยู่ไม่น้อย ว่า “ทำไมคนขับขี่ที่อายุน้อยหรือสูง ถึงต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันรถยนต์ที่แตกต่างกัน” คำตอบ คือ อายุของคนขับถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลโดยตรงต่อการคํานวณเบี้ยประกันรถยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ขับขี่ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี หรือสูงกว่า 60 ปี ที่อาจจะต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงกว่าคนที่อยู่ในช่วงอายุ 30-50 ปี
คนขับอายุน้อยทำไมจ่ายเบี้ยแพงกว่า?
โดยเฉพาะคนขับที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี บริษัทฯ มองว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุสูงกว่า เนื่องจากประสบการณ์การขับขี่ค่อนข้างน้อย รวมถึงความไม่ระมัดระวังในการขับขี่ จึงทำให้บริษัทประกันเพิ่มค่าเบี้ยประกันให้สูงขึ้น
คนขับอายุมากมีผลต่อเบี้ยประกันยังไง?
แม้ว่าคนขับที่มีอายุมาก (ประมาณ 60 ปีขึ้นไป) อาจจะมีประสบการณ์มากกว่าคนขับอายุน้อย แต่พฤติกรรมการขับขี่อาจเปลี่ยนแปลงไป เช่น เรื่องความสามารถในการมองเห็น สมรรถภาพร่างกายในการสั่งการควบคุมรถ การตัดสินใจอาจช้าลง ทำให้อยู่ในกลุ่มที่จะเกิดอุบัติเหตุได้สูงกว่า และส่งให้เบี้ยประกันสำหรับกลุ่มนี้สูงกว่าในช่วงอายุที่เป็นวัยกลางคน
ประเภทการใช้งานรถยนต์ ส่งผลต่อค่าเบี้ยประกันหรือไม่?
ประเภทการใช้งานรถยนต์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กำหนดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ โดยเฉพาะการใช้งานรถยนต์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีการใช้งานค่อนข้างบ่อยและหนัก จงอย่าลืมว่ารถใช้บ่อย ๆ ต่อให้ขับดี ขับเรียบร้อยแค่ไหน ยังไงก็ย่อมเสี่ยงกว่ารถที่จอดอยู่ไม่ได้ใช้ โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
รถส่วนตัว: ใช้ในชีวิตประจำวัน
หากคุณใช้รถยนต์สำหรับเดินทางส่วนตัว เช่น ไปทำงาน ไปเที่ยว หรือเดินทางในระยะทางใกล้ ๆ การเลือกซื้อประกันรถยนต์ก็จะมีเบี้ยประกันที่ไม่สูงมาก เนื่องจากความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุต่ำเมื่อเทียบกับการใช้งานรถยนต์ประเภทอื่น
รถใช้เพื่อการค้าหรือขนส่ง: ใช้งานเพื่อธุรกิจ
กรณีที่คุณใช้รถยนต์ในลักษณะของการทำธุรกิจ เช่น รถแท็กซี่ ขนส่งสินค้า จะมีความเสี่ยงที่สูงกว่ารถยนต์ส่วนตัวที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน ดังนั้น เบี้ยประกันรถยนต์สำหรับการใช้งานแบบนี้จะมีราคาที่สูงขึ้น
การขับขี่ยามค่ำคืน: ขับขี่ในพื้นที่เสี่ยง
ถ้าคุณขับขี่รถยนต์ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ขับขี่ในเวลากลางคืน รวมถึงในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรหนาแน่น บริษัทประกันอาจคํานวณเบี้ยประกันรถยนต์ให้สูงขึ้นตาม “ความเสี่ยง” ที่เกิดขึ้นจากการขับขี่ในพื้นที่ดังกล่าว
มีเครื่องมือไหน ที่ช่วยคํานวณเบี้ยประกันรถยนต์ได้บ้าง?
การคํานวณเบี้ยประกันรถยนต์สามารถทำได้หลายวิธี โดยใช้เครื่องมือออนไลน์หรือใช้การให้ข้อมูลกับตัวแทนประกันภัย ที่สามารถประเมินเบี้ยประกันรถยนต์ที่เหมาะสมได้ ดังนี้
- เช็คเบี้ยประกันรถยนต์ผ่านเว็บไซต์ประกัน: เว็บไซต์ของบริษัทประกันส่วนใหญ่ จะมีเครื่องมือให้เช็คเบี้ยประกันรถยนต์ และคํานวณเบี้ยประกันรถยนต์ เพียงแค่กรอกข้อมูลของคุณ เช่น รุ่นรถ อายุผู้ขับขี่ ประเภทการใช้งานรถยนต์ เพื่อคำนวณเบี้ยที่ต้องจ่าย
- เช็คค่าเบี้ยประกันรถยนต์จากหลายแหล่ง: การเช็คเบี้ยประกันรถยนต์หรือเปรียบเทียบประกันรถยนต์จากหลาย ๆ แหล่ง จะช่วยให้คุณเทียบประกันรถยนต์โดยเฉพาะในส่วนของ “ราคา” เพื่อเลือกแผนที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับความต้องการได้
วิธีลดเบี้ยประกันรถยนต์ มีอะไรบ้าง?
ต้องบอกก่อนวิธีลดเบี้ยประกันรถยนต์ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด หากคุณเลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับความเสี่ยง และลักษณะการใช้งานรถยนต์ มิสเตอร์ คุ้มค่า รวบรวมวิธีลดค่าเบี้ยมาให้แล้ว ตามไปเจาะลึกกันเลย
- เลือกรถยนต์ที่มีความปลอดภัยสูง: รถยนต์ที่มีอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย เช่น ระบบเบรก ABS หรือการติดตั้งกล้อง จะช่วยให้เบี้ยประกันถูกลงได้
- เลือกรูปแบบประกันที่เหมาะสม: การเลือกซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1, 2 หรือ 3 มีผลต่อค่าเบี้ยประกันรถยนต์ทั้งหมด หากไม่ต้องการความคุ้มครองที่สูงเกินไป เช่น รถเก่า รถบ้าน ใช้น้อย ประกันชั้น 3 อาจจะคุ้มค่ากว่า
- ไม่เคลมประกันบ่อย: หากคุณไม่เคยเคลมประกันเลย บริษัทประกันอาจมอบส่วนลดให้คุณในปีถัดไป (ส่วนลดประวัติดี)
เช็คค่าเบี้ยประกันรถยนต์ก่อนซื้อ มีประโยชน์แค่ไหน?
ก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ คุณควรเช็คเบี้ยประกันรถยนต์เพื่อเปรียบเทียบราคา และเลือกแผนประกันที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ เพราะเป็นการช่วยให้คุณได้รู้ถึงความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความเสี่ยงในการใช้งานรถยนต์ของตัวเอง
ได้เห็นภาพรวมของตัวเองว่าความคุ้มครองแค่ไหนที่เพียงพอ จะได้ไม่ต้องจ่ายแพงเกินโดยไม่จำเป็น เทียบง่ายชัด ๆ ในหน้าเว็บเดียว ข้อมูลไม่กระจัดกระจาย ช่วยให้ประหยัดค่าเบี้ยประกันได้มากขึ้นหากเลือกแผนที่ตรงกับความต้องการจริง ๆ
การคำนวณเบี้ยประกันรถยนต์ไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณเข้าใจถึง ‘ปัจจัย’ ที่ส่งผลกระทบ เช่น อายุของผู้ขับขี่ และประเภทการใช้งานรถยนต์ สิ่งสำคัญ คือ ต้องเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยง รวมถึงการใช้งานรถของคุณ นอกจากนี้การทำความเข้าใจวิธีลดเบี้ยประกันรถยนต์ เช่น เลือกรูปแบบประกันที่เหมาะสม หรือเลือกรถที่มีความปลอดภัยสูง ก็สามารถช่วยให้คุณประหยัดค่าเบี้ยได้มากเช่นกัน
คำจำกัดความ
| ระบบควบคุมเสถียรภาพ | ระบบความปลอดภัยในรถยนต์ที่ทำงานอัตโนมัติเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน |
| วัยกลางคน | วัยที่มีอายุพ้นวัยหนุ่มสาวแต่ยังไม่แก่ อยู่ในช่วงวัยประมาณ 30-50 ปี |
| ประเภทการใช้งานรถยนต์ | การจำแนกตามลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น ใช้ส่วนตัวสำหรับเดินทางในเมือง, ใช้เชิงพาณิชย์สำหรับขนส่งสินค้า, หรือใช้สำหรับเดินทางไกล |



