ฉลากยางรถยนต์ หรือที่เรียกว่า Eco Sticker คือระบบที่ริเริ่มโดยสหภาพยุโรป (EU) ผ่านชื่อ EU Tyre Label มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดอุบัติเหตุ และลดมลพิษจากยานยนต์ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้อย่างแพร่หลาย รวมถึงในประเทศไทย
อ่านเพิ่มเติม: สติ๊กเกอร์ยางบอกอะไร ก่อนเปลี่ยนยางรถยนต์ต้องรู้
Eco Sticker คืออะไร?
เป็นฉลากที่แสดงคุณสมบัติของยางรถยนต์ในด้านความปลอดภัย การประหยัดพลังงาน และความเงียบในการขับขี่ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบข้อมูลสำคัญของยางแต่ละรุ่น และเลือกยางได้เหมาะสมกับการใช้งาน
รายละเอียดที่แสดงบน Eco Sticker
- ยี่ห้อ และรุ่นยาง
- ขนาดยาง ความเร็วสูงสุด และน้ำหนักบรรทุกสูงสุด
- ประเทศผู้ผลิต และราคาแนะนำ
- เครื่องหมาย มอก. และ QR Code
- Tyre Class (ประเภทของยาง)
- เลข มอก. สำหรับมาตรฐานอุตสาหกรรม
- ค่าประสิทธิภาพจากผลทดสอบ: Rolling Resistance, Wet Grip, Noise
Tyre Class คืออะไร?
- C1: สำหรับรถยนต์นั่งทั่วไป
- C2: สำหรับรถ SUV หรือกระบะ
- C3: สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่
มาตรฐาน มอก. ที่เกี่ยวข้องกับยางรถยนต์
- มอก. 2721-2560: ด้านเสียง ยึดเกาะถนนเปียก และความต้านทานการหมุน
- มอก. 2718-2560: สำหรับยางรถยนต์และพ่วง
- มอก. 2720-2560: สำหรับรถพาณิชย์ เช่น รถบรรทุกและรถโดยสาร
ทำไม มอก. ถึงสำคัญ?
- ความปลอดภัย: มอก. กำหนดมาตรฐานด้านความแข็งแรง ความทนทาน และประสิทธิภาพการยึดเกาะของยาง เพื่อให้ผู้ใช้รถมั่นใจในความปลอดภัยขณะขับขี่
- การประหยัดพลังงาน: มอก. 2721-2560 ส่งเสริมการใช้ยางที่มีค่าความต้านทานการหมุนต่ำ ซึ่งช่วยให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้น
- รักษาสิ่งแวดล้อม: การควบคุมระดับเสียงจากยางช่วยลดมลภาวะทางเสียงในเมือง
- คุ้มครองผู้บริโภค:ยางที่ได้รับ มอก. เป็นหลักประกันว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณภาพตามที่กำหนด และผ่านการตรวจสอบจาก สมอ. แล้ว
ค่าที่แสดงบน Eco Sticker
1. ค่าความต้านทานการหมุน (Rolling Resistance)
ระบุประสิทธิภาพด้านการประหยัดน้ำมัน ซึ่งส่งผลต่ออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน
- ระดับ : A คือ ประหยัดน้ำมันมากที่สุด และไล่ไปจนถึง G คือ ประหยัดน้ำมันน้อยที่สุด
- ค่าตัวเลขที่สัมพันธ์กับค่าความต้านทานการหมุน ยิ่งค่าน้อยยิ่งดี (ยิ่งต่ำยิ่งประหยัดน้ำมัน)
อ่านต่อ: วิธีเลือกยางรถยนต์ประหยัดน้ำมัน
2. ค่ายึดเกาะถนนเปียก (Wet Grip)
ระบุ ความปลอดภัยในการยึดเกาะถนน ซึ่งส่งผลต่อระยะเบรกและความปลอดภัยในการขับขี่
- ระดับ : A คือ ดีที่สุด และไล่ไปจนถึง G คือ แย่ที่สุด
- ค่าที่แสดงถึงระยะเบรกที่สั้นลงบนพื้นผิวเปียก : ยิ่งค่าน้อยยิ่งดี (ยิ่งต่ำยิ่งระยะเบรกสั้นลงและปลอดภัยยิ่งขึ้น)
เหตุผล ที่ควรรู้ค่า wet grip ของยางแต่ละรุ่น
- เหตุผลสำคัญที่สุด ยางที่มีค่า Wet Grip สูงจะช่วยให้รถของคุณมี ระยะเบรกที่สั้นลง บนพื้นผิวถนนที่เปียก การลดระยะเบรกลงเพียงไม่กี่เมตรก็สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลในการหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน
- ในทางกลับกัน ยางที่มี Wet Grip ต่ำจะทำให้ระยะเบรกยาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดบนถนนเปียก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการชน
- ลดความเสี่ยงการเกิด Hydroplaning (เหินน้ำ) แม้ว่า Wet Grip จะไม่ใช่ตัววัดการเหินน้ำโดยตรง แต่ยางที่มีดอกยางและร่องยางที่ออกแบบมาเพื่อการยึดเกาะบนพื้นเปียกที่ดี มักจะมีความสามารถในการรีดน้ำออกจากหน้ายางได้ดีกว่า ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่ยางจะลอยตัวเหนือชั้นน้ำ (hydroplaning) ทำให้สูญเสียการควบคุมรถ
3. ระดับเสียง (Noise Measure Value)
แสดงระดับเสียงที่เกิดจากการหมุนของยาง โดยมี 2 ส่วนคือ:
- คลื่นเสียง (1–3 เส้น) ยิ่งน้อย ยิ่งเงียบ
- ค่าระดับเสียง dB (เดซิเบล) ยิ่งน้อย ยิ่งเงียบ
ประโยชน์ของ Eco Sticker
- เปรียบเทียบยางได้ง่าย: เห็นข้อมูลชัดเจน เปรียบเทียบได้โดยไม่ต้องเปิดหลายแหล่ง
- ปลอดภัยมากขึ้น: เลือกยางที่เหมาะสมกับลักษณะการขับขี่และสภาพถนน
- ช่วยสิ่งแวดล้อม: ด้วยการเลือกยางที่ช่วยประหยัดน้ำมัน
- ปกป้องผู้บริโภค: ข้อมูลโปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้
" สรุป "
Eco Sticker คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกยางได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการยางคุณภาพที่คุ้มค่ากับการใช้งานในระยะยาว