กลับมาอีกแล้ว ! สำหรับ อาการแพ้ฝุ่น pm 2.5 ภัยคุกคามชาวกรุงเทพฯ ฝุ่นละอองตัวร้ายที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผม ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และยัง “ส่งผลกระทบ” ต่อระบบทางเดินหายใจ อาทิ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง หอบหืด ภูมิแพ้ ถุงลมโป่งพอง ที่สำคัญเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดอีกด้วย แล้วชาวแพ้ฝุ่น จะมีวิธีการรับมือกับ pm2.5 หรือมีวิธีสังเกตอาการอย่างไร ? MrKumka รวบรวมมาให้คุณหมดแล้ว !
อาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
ก่อให้เกิดการระคายเคือง ตาแดง คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ รวมถึงอาการภูมิแพ้และหอบหืดกำเริบ อาจทำให้ปอดอักเสบติดเชื้อได้ง่าย บวกกับผิวหนังอักเสบและมีผื่นคันที่ผิวหนัง
ส่งผลให้ปอดทำงานแย่ลง เสี่ยงเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด รวมถึงผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร
ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีการรักษา ชื่อว่า Radio Frequency หรือ RF การรักษาด้วย “คลื่นความถี่วิทยุ” สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยา หรือมีอาการคัดจมูกอันเกิดจากเยื่อบุจมูกส่วนล่างโต โดยมีกระบวนการรักษา ดังนี้
อาการแพ้ฝุ่น ถือเป็นสิ่งที่กลุ่มคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ไม่ต้องการพบเจอ หรือต้องการหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่ PM2.5 แพร่ระบาดอย่างหนัก ก็มีวิธีการรับมือง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
*หมายเหตุ : ในกรณีที่พบว่าตัวเองหายใจไม่สะดวก มีน้ำมูกนานกว่า 1 สัปดาห์ หรือไอเรื้อรังนานกว่า 2 สัปดาห์ แนะนำให้รีบพบแพทย์ทันที
โควิดยังต้องระวัง “เรื่องฝุ่น ๆ” PM 2.5 ที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมก็ยังมองข้ามไม่ได้ ส่งผลกระทบรุนแรงจนก่อให้เกิดโรคร้ายตามมามากมาย และเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอาการแพ้ฝุ่น เนื่องจากการใช้ชีวิตประจำวัน ที่บีบบังคับให้คุณต้องออกไปข้างนอกตลอดเวลา ดังนั้นคุณจึงควรหมั่นสังเกตอาการ และป้องกันตัวเองให้ดี หากพบว่ามีอาการที่รุนแรงหรือมีทีท่าว่าจะเรื้อรัง แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรักษาตามขั้นตอนที่ถูกต้องต่อไป ใครมีประกันสุขภาพรีบเข้าไปด่วน ส่วนใครที่ยังไม่มี เลือกซื้อประกันสุขภาพที่เพิ่มความคุ้มค่าให้กับคุณได้กับเรา MrKumka.com คลิกเลย
เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่