หลายคนมองว่า พ.ร.บ. รถยนต์ หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เป็นเพียงประกันภาคบังคับที่ไว้ใช้ต่อภาษีเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วมีความสำคัญมากกว่าแค่ “เอกสารประกอบการต่อทะเบียน” เพราะหากรถไม่มี พ.ร.บ. แล้วเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา อาจนำไปสู่ปัญหาหนักทั้งทางกฎหมายและการเงินได้ มิสเตอร์ คุ้มค่าจะพาคุณไปรู้ว่ารถไม่มี พ.ร.บ. โดนปรับเท่าไหร่ ไม่มี พ.ร.บ. ประกันจ่ายไหม และอื่น ๆ ถ้าพร้อมแล้วตามไปทำความเข้าใจกันเลย
โทษของรถไม่มี พ.ร.บ. โดนปรับเท่าไหร่?
ตามกฎหมาย พ.ร.บ. รถยนต์ (พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535) ได้กำหนดให้รถทุกคันที่ใช้บนถนนต้องมี พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัย และถือเป็น “ประกันภัยภาคบังคับ” ที่เจ้าของต้องทำทุกปี หากคุณสงสัยว่ารถไม่มี พ.ร.บ. โดนปรับเท่าไหร่ มิสเตอร์ คุ้มค่า หาคำตอบมาให้แล้ว
- ตามกฎหมายจะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท
- นอกจากนี้หากรถไม่มี พ.ร.บ. จะไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ประจำปีได้ เพราะเป็นเอกสารจำเป็นในการต่อทะเบียน
- กรณีที่ขับรถโดยที่รถไม่ได้ต่อ พ.ร.บ. แล้วโดนเจ้าหน้าที่เรียกตรวจ อาจถูกดำเนินคดีและเสียค่าปรับทันที
รถไม่มี พ.ร.บ. จะเสียสิทธิ์อะไรบ้าง?
การไม่มี พ.ร.บ. รถยนต์ ไม่ได้แค่เสี่ยงต่อการถูกปรับ แต่ยังหมายถึงการสูญเสียสิทธิ์สำคัญทางกฎหมาย และคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทั้งต่อตัวคุณเอง ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก มาดูกันว่าไม่มี พ.ร.บ. แล้วคุณจะเสียสิทธิ์อะไรบ้าง
1. เสียสิทธิ์ค่ารักษาพยาบาลเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
- พ.ร.บ. ให้ความคุ้มครองผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
- ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 80,000 บาทต่อคน
- หากไม่มี พ.ร.บ. จะต้องออกค่ารักษาเองทั้งหมด
2. เสียสิทธิ์ค่าชดเชยอื่น ๆ
- กรณีทุพพลภาพ เสียชีวิต หรือสูญเสียอวัยวะ จะได้รับเงินชดเชยจาก พ.ร.บ.
- แต่หากคุณไม่มี พ.ร.บ. คุณจะไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใด ๆ จากกองทุนฯ
3. ต่อทะเบียนรถไม่ได้
- ต่อภาษีรถยนต์ไม่ได้หากไม่มีใบ พ.ร.บ. ที่ยังไม่หมดอายุ
- รถที่หมดอายุภาษีเกิน 3 ปี จะต้องตรวจสภาพก่อนต่อทะเบียนใหม่ ซึ่งยุ่งยากและเสียเวลา
พ.ร.บ. หมดอายุเช็กยังไง?
การตรวจสอบว่า พ.ร.บ. หมดอายุหรือยัง เป็นสิ่งที่เจ้าของรถควรทำเป็นประจำทุกปี เพราะหากหมดอายุแล้วขับรถบนท้องถนน นอกจากจะผิดกฎหมายแล้วยังอาจเสียสิทธิ์ความคุ้มครอง ถ้าเกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย ซึ่งคุณสามารถเช็กวันหมดอายุของ พ.ร.บ. ได้ง่าย ๆ ดังนี้
เช็กจากเอกสารใบ พ.ร.บ.
- เมื่อคุณทำ พ.ร.บ. จะได้รับเอกสารกรมธรรม์จากบริษัทประกันภัย
- บนเอกสารจะระบุชัดเจนว่า “คุ้มครองตั้งแต่วันที่ไหนถึงวันไหน”
- ตรวจสอบจากหัวข้อที่เขียนว่า “ระยะเวลาคุ้มครอง หรือวันสิ้นสุดความคุ้มครอง”
เช็กจากใบเสร็จ/ใบเตือนต่อทะเบียน
- หากคุณทำ พ.ร.บ. ผ่านบริษัทประกันที่ต่อทะเบียนให้ด้วย มักจะมีการแจ้งวันหมดอายุล่วงหน้า
- ใบเสร็จหรืออีเมลยืนยันการทำ พ.ร.บ. ก็จะระบุวันหมดอายุไว้ด้วย
เช็กผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของกรมการขนส่งทางบก
- เข้าเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก
- ลงทะเบียนหรือเข้าสู่ระบบ
- กรอกเลขทะเบียนรถ และเลขบัตรประชาชนเจ้าของรถ
- ระบบจะแสดงข้อมูลรถยนต์ รวมถึงวันหมดอายุของ พ.ร.บ. และภาษี
เช็กจากบริษัทประกันที่คุณเคยทำ พ.ร.บ.
- โทรสอบถาม Call Center หรือแอดไลน์บริษัทประกัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เช็กข้อมูลให้
- ส่วนใหญ่ใช้แค่เลขทะเบียนรถ ก็สามารถตรวจสอบได้แล้ว
รถไม่มี พ.ร.บ. เกิดอุบัติเหตุ ควรทำยังไง?
เมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สิ่งแรกที่ควรมีคือ “สติ” และสิ่งที่ควรมีติดรถคือ พ.ร.บ. แต่หากรถไม่มี พ.ร.บ. แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เจ้าของรถจะต้องรับมืออย่างไร? มาดูแนวทางและข้อควรระวังที่คุณควรรู้ไว้ล่วงหน้ากันเลยว่าต้องเจออะไรบ้าง
1. รับผิดชอบค่ารักษา และความเสียหายด้วยตัวเอง
หากคุณเป็นฝ่ายผิดและไม่มี พ.ร.บ. คุณต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลของผู้บาดเจ็บทุกคนเต็มจำนวน รวมถึงค่าเสียหายต่อทรัพย์สินของคู่กรณีด้วย
2. กรณีมีประกันภาคสมัครใจ
หากคุณสงสัยว่าไม่มี พ.ร.บ. ประกันจ่ายไหม ถ้ามีประกันชั้น 1 หรือ 2+ อยู่ บริษัทประกันอาจยังรับผิดชอบบางส่วน แต่ต้องตรวจสอบเงื่อนไขในกรมธรรม์ ว่าความคุ้มครองจะยังคงอยู่หรือไม่ในกรณีไม่มี พ.ร.บ. บางแห่งอาจถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย และไม่จ่ายค่าสินไหมได้ ดังนั้นก่อนทำประกันทุกครั้งควรเปรียบเทียบประกันรถยนต์แต่ละแบบให้ละเอียด ไม่ว่าจะเป็นชั้น 1, 2+ หรือ 3+ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน และลดความเสี่ยงทางกฎหมายในกรณีฉุกเฉิน
3. แจ้งเหตุตามขั้นตอน
แม้ไม่มี พ.ร.บ. ก็ยังต้องแจ้งตำรวจ เขียนบันทึกประจำวันและรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ เพื่อป้องกันข้อพิพาท
จะทำยังไงเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วคู่กรณีไม่มี พ.ร.บ. ?
หากคุณเป็นฝ่ายถูกในอุบัติเหตุ แต่พบว่าคู่กรณีไม่มี พ.ร.บ. แม้จะเกิดจากเหตุสุดวิสัย เช่น รถเบรคแตก เรื่องอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะนอกจากจะไม่ได้รับเงินชดเชยเบื้องต้น ยังอาจต้องเรียกร้องค่าเสียหายด้วยตัวเอง มาดูกันว่าคุณควรรับมืออย่างไรในสถานการณ์แบบนี้
1. ตรวจสอบว่าเรามี พ.ร.บ. หรือประกันหรือไม่
หากคุณมี พ.ร.บ. หรือประกันชั้น 1 หรือ 2+ ของตัวเอง ก็ยังสามารถใช้ความคุ้มครองของตนเองได้ (บางรายการอาจเบิกได้ทันที)
2. เก็บหลักฐานให้ครบ
- ภาพถ่ายที่เกิดเหตุ
- บันทึกข้อมูลรถคู่กรณี เลขทะเบียนรถ ชื่อผู้ขับขี่
- ตรวจสอบสถานะ พ.ร.บ. ได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน คปภ. หรือกรมขนส่งทางบก
3. แจ้งตำรวจ และบันทึกประจำวันทันที
เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากต้องดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากคู่กรณี
4. เรียกร้องค่าเสียหายผ่านช่องทางกฎหมาย
หากไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้ คู่กรณีอาจต้องรับผิดชอบทั้งหมดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมรถ และค่าเสียหาย
สรุปได้ว่ารถไม่มี พ.ร.บ. อาจดูเป็นเรื่องเล็กในสายตาหลายคน แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุเล็กหรือใหญ่ ผลกระทบที่ตามมานั้นอาจทำให้คุณเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และเสียสิทธิ์ที่ควรได้รับ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบวันหมดอายุ พ.ร.บ. เป็นประจำ และต่อ พ.ร.บ. ทุกปี (แม้รถไม่ค่อยได้ขับก็ต้องมี) รวมถึงทำประกันภาคสมัครใจเสริมไว้เสมอ เพื่อความอุ่นใจตลอดการเดินทาง
คำจำกัดความ
ทุพพลภาพ | การสูญเสียความสามารถในการทำงานของร่างกายหรือจิตใจ จนไม่สามารถประกอบอาชีพหรือดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ |
กองทุนฯ | ย่อมาจาก "กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถ" ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 กองทุนนี้มีหน้าที่หลักในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากรถ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ประสบภัยไม่ได้รับการชดเชยจากบริษัทประกันภัย หรือในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วไม่สามารถเรียกร้องความเสียหายได้ |
ลงบันทึกประจำวัน | การที่บุคคลไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้จดบันทึกเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยไม่มีเจตนาที่จะให้มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด เป็นเพียงการบันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐานเบื้องต้น |