7 ประเด็นที่คุณต้องรู้ ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

แชร์ต่อ
ข้อควรรู้ ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

Electric Vehicle (EV) หรือ รถยนต์ไฟฟ้า เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ช่วยให้คุณประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น แถมยังบำรุงรักษาได้ง่ายกว่ารถยนต์สันดาป และไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถ้าหากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่สนใจ และกำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์ประเภทนี้อยู่ MrKumka ได้รวบรวมรายละเอียด 7 ประเด็นต้องรู้ มาให้คุณนำไปประกอบการตัดสินใจ ไปติดตามพร้อม ๆ กันได้เลย!

รถยนต์ไฟฟ้า มีกี่ประเภท ?

ประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า

ในปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 2 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีรายละเอียดดังนี้

  • 1. PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle)

    หรือที่หลายคนนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า “รถไฮบริด” เป็นการทำงานร่วมกับน้ำมันและไฟฟ้า คุณสามารถเลือกได้อย่างอิสระว่าต้องการใช้แบบไหนในการขับเคลื่อนรถยนต์ ทั้งนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า รถไฮบริดมีขนาดแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างน้อย ดังนั้นการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า จะสามารถทำได้แค่ 50 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้งเท่านั้น จึงเหมาะสำหรับคนที่ “อยากลอง” ขับรถไฟฟ้ามากกว่าขับเป็นชีวิตจิตใจ

  • 2. BEV (Battery Electric Vehicle)

    เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% ไม่มีน้ำมันเข้ามาปะปนแม้แต่นิดเดียว สามารถวิ่งได้ไกลกว่ารถไฮบริด 300-600 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจริง ๆ ไม่ว่าจะขับไปทำงาน ท่องเที่ยว หรือใช้ในชีวิตประจำวัน ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้มาก ๆ

7 ข้อควรรู้ ก่อนตัดสินใจซื้อ รถยนต์ไฟฟ้า

ไม่ว่าคุณสนใจจะซื้อรถยนต์ประเภทใดก็ตาม จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ให้ดีซะก่อน เพื่อนำมาพิจารณาว่ารถเหล่านั้น สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้จริงหรือไม่ และสำหรับ “รถยนต์ไฟฟ้า” มีข้อควรรู้มากถึง 7 ข้อ ดังนี้

  • 1. รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งได้ 300-400 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

    รถยนต์ไฟฟ้า “ส่วนใหญ่” หากชาร์จไฟ 1 ครั้ง จะสามารถวิ่งได้ประมาณ 300-400 กิโลเมตร และจะใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 1 ชั่วโมง (เป็นอย่างต่ำ) หากใช้เดินทางในกรุงเทพ หรือขับรถทางไกล เดินทางไปต่างจังหวัดที่ไม่ห่างไกลมากถือว่าตอบโจทย์ได้พอสมควร แต่ทางที่ดีแนะนำให้วางแผน ค้นหาแหล่ง สถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือจุดชาร์จรถไฟฟ้าระหว่างทางก่อนออกเดินทางไว้ด้วย

  • 2. ไลฟ์สไตล์แบบไหน เหมาะกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือเปล่า ?

    หากคุณเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบทำงาน-กลับบ้าน วนเวียนกันไปแบบนี้ การใช้รถยนต์ไฟฟ้า ถือว่าน่าสนใจมาก ๆ เพราะถือว่าช่วยคุณประหยัดค่าน้ำมันได้หลายเท่าตัว เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า การชาร์จ 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 300 กิโลเมตร หากที่ทำงานและที่พักของคุณอยู่ห่างกัน (ไป-กลับ) ประมาณ 20 กิโลเมตร การชาร์จเพียง 1 ครั้ง สามารถใช้รถได้ยาว ๆ มากกว่า 10 วันเลยล่ะ (ที่จริงจะน้อยกว่านั้น)

  • 3. การเตรียมที่ชาร์จไฟไว้ที่บ้าน

    การเตรียมที่ชาร์จไฟฟ้าไว้ที่บ้าน ถือว่าเพิ่มความสะดวกสบายให้คุณได้ค่อนข้างมาก แต่จะต้องทำการเปลี่ยนขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น โดยจะต้องไม่น้อยกว่า 30 แอมป์ นอกจากนี้ยังจะต้องเปลี่ยนสายเมนไฟฟ้าเป็น 25 ตร.มม. รวมถึงเปลี่ยนลูกเซอร์กิตให้มีขนาด 100 แอมป์ด้วย เพื่อรองรับความต้องการการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ยังจะต้องเตรียม “เต้ารับ (EV Socket)” เพื่อเสียบชาร์จรถให้เหมาะสมกับรุ่นของรถยนต์ไฟฟ้าที่คุณซื้อด้วยเช่นกัน เพียงเท่านี้การเดินทางของคุณจะสะดวกและประหยัดเวลาได้มากกว่าเดิม เพราะสามารถชาร์จทิ้งไว้ในตอนกลางคืนได้ยังไงล่ะ

  • 4. “ค่าไฟ” ที่ต้องจ่าย

    หากคุณวางแผนในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี บอกเลยว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เป็นกอง เพราะจากการเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว การชาร์จไฟจะเฉลี่ยอยู่ที่ 0.26-0.50 บาทต่อกิโลเมตร

  • 5. ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่

    รถยนต์ไฟฟ้า แต่ละแบรนด์ แต่ละรุ่น มีระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับ “ขนาดความจุของแบตเตอรี่” ดังนี้

    • ชาร์จแบบธรรมดาที่ใช้ไฟบ้านแบบกระแสสลับ ใช้เวลาประมาณ 12-16 ชั่วโมง
    • ชาร์จแบบรวดเร็วจากตู้ไฟฟ้า EV Charger ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง
    • ชาร์จแบบเร่งด่วนตามสถานีชาร์จนอกบ้าน (ไฟฟ้ากระแสตรง หรือ DC Charging) ใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที
  • 6. เรื่องการซ่อมรถ และการดูแลรถยนต์ไฟฟ้า

    ในส่วนของการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า บอกเลยว่าไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิกกวนใจ เนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์ ไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่ต้องนำรถเข้าศูนย์ไปเช็กบ่อย ๆ แต่ถือว่ามีข้อจำกัดพอสมควร เพราะในปัจจุบันการซ่อมบำรุงเทคโนโลยีเหล่านี้ ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง หากเกิดความผิดปกติแม้จะแค่นิดเดียว ควรรีบนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้าศูนย์บริการเพียง ไม่สามารถนำเข้าอู่ซ่อมเหมือนกับรถยนต์ทั่วไปได้

    นอกจากนี้ในเรื่อง “ค่าอะไหล่รถยนต์” ยังมีราคาที่ค่อนข้างแพงกว่า ยกตัวอย่างเช่น ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ของรถไฟฟ้า Tesla มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 162,000-220,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่คุณควรจะต้องพิจารณากันอย่างหนักแล้วล่ะ

  • 7. เลือกแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีบริการหลังการขาย

    ด้วยความที่รถยนต์ไฟฟ้า เพิ่งเข้าไทยมาได้ไม่นาน แถมปัจจัยต่าง ๆ เช่น ศูนย์บริการ อะไหล่ และอื่น ๆ ก็ยังไม่ครอบคลุมต่อความต้องการสักเท่าไหร่นัก หากคุณสนใจและต้องการซื้อรถยนต์ประเภทนี้จริง ๆ แนะนำให้เลือกซื้อกับแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และได้มาตรฐานการผลิตจะดีที่สุด นอกจากนี้ยังจะต้องมีบริการหลังการขายที่เป็นมิตร ให้ความประทับใจทุกวินาที เพราะอย่าลืมว่าเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าเกิดปัญหา จะไม่สามารถนำไปซ่อมกับที่ไหนได้เลยนอกจากศูนย์บริการ

เป็นอย่างไรกันบ้าง ? สำหรับรายละเอียดของ “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่เรานำมาบอกต่อในวันนี้ ช่วยให้คุณเข้าใจและตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายขึ้นมาก ๆ เลยใช่ไหมล่ะ ซึ่งต้องบอกก่อนว่า นอกจากจะต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ให้ถี่ถ้วนแล้ว อย่าลืมให้ความสำคัญในเรื่องของ “ประกันรถยนต์ไฟฟ้า”ด้วย เพื่อให้การเดินทางของคุณมีความราบรื่น และมีเพื่อนคอยเคียงข้างทุกครั้งที่เกิดปัญหาไม่คาดคิด ! ที่ MrKumka พร้อมตอบโจทย์คุณให้ในเรื่องนี้ คลิกเลยที่ MrKumka.com

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่