ใน “ระยะยาว” รถยนต์ไฟฟ้า จะถูกกว่าจ่ายค่าน้ำมันหรือใช้รถติดแก๊สจริงหรือ?

แชร์ต่อ
เปรียบเทียบรถยนต์ไฟฟ้า กับรถติดแก๊ส แบบไหนประหยัดกว่า

รถยนต์ไฟฟ้าหรือ รถ EV ดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะค่ายเล็กหรือค่ายใหญ่ต่างเริ่มปรับตัว มาพัฒนาเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ไฟฟ้า ให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และพร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนยุคใหม่ให้มากขึ้น แต่ในระยะยาวรถยนต์ประเภทนี้ จะถูกกว่าการจ่ายค่าน้ำมัน หรือค่าแก๊สจริงหรือไม่ !? หาคำตอบไปพร้อมกับ MrKumka เลย !

รถ EV รถยนต์แห่งยุคเทรนด์ใหม่เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

รถ EV (Electric Vechicle) คือยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยใช้ “พลังงานไฟฟ้า” แทนการใช้น้ำมันหรือพลังงานอื่น ๆ สามารถชาร์จแบตเตอรี่เพื่อแปลงพลังงานจากแบตเตอรี่มาขับเคลื่อนรถ เครื่องยนต์มีความเงียบสงบ เนื่องจากไม่ต้องใช้การจุดระเบิดเผาไหม้เหมือนเครื่องสันดาป นอกจากนี้ยังไม่มีไอเสียซึ่งเกิดจากการเผาผลาญพลังงาน ในปัจจุบันมีทั้งหมด 3 ประเภท ดังนี้

  • 1. รถยนต์ไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV)

    เป็นรถยนต์ที่ “ผสมผสาน”ระหว่างเชื้อเพลิงทั่วไปและพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ทำให้มีอัตราการสิ้นเปลืองต่ำกว่าแบบใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว เพราะในระหว่างที่เหยียบเบรก พลังงานบางส่วนจะถูกจัดเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ที่สามารถนำไปใช้ในภายหลังเพื่อ “ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า” ได้

  • 2. รถยนต์ไฮบริด แบบปลั๊ก-อิน (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV)

    เป็นรถยนต์ระบบเดียวกันกับรถยนต์ไฮบริด แต่สามารถ “เสียบปลั๊กชาร์จไฟ” จากภายนอกได้ หลังจากชาร์จไฟจนเต็ม รถยนต์ประเภทนี้จะสามารถวิ่งในระยะทางที่มากกว่าระบบไฮบริดแบบเดิม ในกรณีที่แบตเตอรี่หมด รถก็จะทำงานคล้ายกับระบบไฮบริด

  • 3. รถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แหล่งไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว (Plug-in Electric Vehicle: PEVs)

    รถยนต์ประเภทนี้คล้ายกับรถยนต์ประเภทปลั๊ก-อิน ไฮบริด แต่จะแตกต่างในส่วนของ “ขนาดแบตเตอรี่” ที่ใหญ่กว่า เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานหลักเพียงอย่างเดียว ไม่มีเครื่องยนต์ช่วยในการขับเคลื่อนเลย ในกรณีที่แบตเตอรี่หมดจะไม่สามารถใช้งานต่อได้ จำเป็นจะต้องเสียปลั๊กเพื่อชาร์จไฟให้เต็มซะก่อน

ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

ด้วยความที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ค่อนข้างได้รับความสนใจอย่างก้าวกระโดด จึงทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่า รถยนต์ประเภทนี้มีดีอย่างไร?​ ซึ่งเราก็ได้รวบรวม “ข้อดี” มาให้คุณได้ทำความคุ้นเคย เผื่อจะ “โดนตก” และหันมาใช้งานรถยนต์ประเภทนี้ด้วย โดยข้อดีที่ว่ามีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • 1. ค่าเชื้อเพลิงมีราคาไม่แพง

    หากพูดในเรื่องของ “ค่าตัว” ของรถยนต์ EV บอกเลยว่าหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “แพงมาก” แต่ถ้าหันมามองในด้าน “เชื้อเพลิง” บอกเลยว่าถูกกว่ารถยนต์ทั่วไปหลายเท่าตัว เนื่องจากใช้การชาร์จประจุไฟฟ้าเข้าไปที่ตัวแบตเตอรี่ และมีการคาดการณ์เอาไว้ว่า ราคาของรถยนต์ประเภทนี้จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามสภาพตลาดในปัจจุบัน

  • 2. การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

    เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นรถยนต์ใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อน จึงไม่ต้องจุดระเบิดเหมือนกับรถยนต์ทั่วไป ทำให้รถยนต์ประเภทนี้ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ ซึ่งนับเป็นหนึ่งใน “เทคโนโลยีรักโลก” ที่หลายคนเลิฟสุด ๆ

  • 3. ไม่มีเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์

    เนื่องจากกลไกในการขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้า ไม่มีการจุดระเบิดเชื้อเพลิง จึงทำให้รถยนต์ประเภทนี้เงียบสงบ สำหรับคนที่ชอบรถที่เงียบ เสียงรบกวนค่อนข้างน้อย บอกเลยว่าคุณจะต้องตกหลุมรักรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แน่นอน ซึ่งสามารถแยกตาม “การใช้งาน” ได้ดังนี้

    • รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับวิ่งระยะสั้น

      หรือการเดินทางไปยังละแวกใกล้เคียง ไม่เน้นขับรถระยะทางไกลหรือออกต่างจังหวัด มีช่วงการขับขี่ต่ำและทำงานที่ความเร็วต่ำ เช่น GEM Electric Motorcar

    • รถยนต์ไฟฟ้าประเภท Battery Electric Vehicle (BEV)

      เป็นรถยนต์ไฟฟ้าประเภทใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% ทำให้แบตเตอรี่มีขนาดใหญ่ แถมยังสามารถวิ่งได้ไกลจากการชาร์จไฟเพียง 1 ครั้ง และเนื่องจากไม่มีการใช้เครื่องยนต์สันดาป ทำให้รถยนต์ประเภทนี้ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ

      แต่มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ ระยะทางที่สามารถวิ่งไปได้จะขึ้นตรงกับ “ขนาดของแบตเตอรี่”​ และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ในการใช้งาน และเส้นทางที่วิ่ง หากที่ที่เดินทางไปไม่มีสถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือแวดล้อมไม่อำนวย ก็อาจจะทำให้เจอกับปัญหาต่าง ๆ ได้

    • รถยนต์ไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง

      เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนและใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจากการเติมเชื้อเพลิงภายนอก แต่ไม่มีการปล่อยมลพิษจากรถยนต์โดยตรง แต่จะทำการปลดปล่อยน้ำเท่านั้น ในอนาคตคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถเข้าสู่ตลาดการแข่งขันได้ไม่แพ้ประเภทอื่น ๆ

แต่เหรียญมักมีสองด้านเสมอ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดในเรื่องต่าง ๆ เช่น ระยะทาง สถานีชาร์จรถไฟฟ้า ระยะเวลาในการชาร์จไฟ และตัวเลือกที่ค่อนข้างน้อย อาจทำให้การใช้งานจริงในปัจจุบัน ยังไม่ตอบโจทย์คนที่ต้องการใช้รถสักเท่าไหร่นัก แต่ไม่แน่ในอนาคตข้อจำกัดต่าง ๆ จะถูกจำกัดไป ด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้

เทียบค่าไฟ EV กับรถติดแก๊ส แบบไหนประหยัดเงินกว่า !?

สำหรับคนที่ยังคงสงสัยว่า จริง ๆ แล้วรถยนต์ไฟฟ้า EV จะช่วยให้คุณประหยัดเงิน ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่ารถที่ติดแก๊ส หรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้จริงหรือไม่? เราจึงได้ทำการ “เปรียบเทียบ” ค่าใช้จ่ายระหว่างรถยนต์ไฟฟ้า vs รถติดแก๊ส ที่วิ่งระยะทางเท่ากัน ให้คุณได้รู้ดำรู้แดงไปเลย !

สำหรับการเปรียบเทียบในวันนี้ เราขอยกตัวอย่างจาก รถยนต์ Toyota bZ4x ตามสเปคอยู่ที่ 190 Wh/km เพื่อเทียบกับอัตราสิ้นเปลืองของรถยนต์สันดาป ระดับ C-SUV อย่าง Honda CR-V (เครื่องยนต์เบนซิน) ที่มีอัตราสิ้นเปลือง 12.2 กม./ล. โดยเฉลี่ย

ชาร์จ 30 นาที เสียเงิน 482 บาท วิ่งได้ 300 กิโลเมตร

ในส่วนของ “ราคาค่าชาร์จไฟ” จะคิดตามอัตราสถานีบริการ PTT EV Station ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 7.5 บาทต่อ 1kWh จากการชาร์จตู้ไฟ DC กำลังขับ 150W ใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 30 นาที พบว่าได้ปริมาณแบตเตอรี่ 80% ของความจุทั้งหมด ค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ 482 บาท

หลังจากนั้นได้ทำคำนวณ ปริมาณแบตเตอรี่ 80% ของ Toyota bZ4x ด้วยอัตราการกินไฟ 190 Wh/km ด้วยการนำปริมาณแบต 57,120 Wh (แปลงหน่วยเป็นวัตต์ชั่วโมง) หารด้วยอัตรากินไฟ 190 Wk/km พบว่าสามารถวิ่งได้ทั้งหมด 300 กิโลเมตร

และเมื่อนำมาคิดเฉลี่ยกับค่าชาร์จไฟ จำนวน 482 บาท หารด้วย 300 ก็จะเท่ากับว่ารถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ วิ่งด้วย “อัตราสิ้นเปลือง” 1.6 บาทต่อกิโลเมตร (การคำนวณโดยประมาณ)

วิ่งด้วย “น้ำมันล้วน” จ่ายค่าเชื้อเพลิงสูง แต่ค่าแก๊ส…

จากการคำนวณอัตราสิ้นเปลืองรถยนต์สันดาป Honda CR-V เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร ความจุน้ำมัน 57 ลิตร ใช้อัตราสิ้นเปลือง 12.2 กม./ล. เปรียบเทียบจากค่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ราคา 44.55 บาท/ลิตร หากเติมเต็มถังจะใช้เงินทั้งหมด 2,539 บาท สามารถวิ่งได้ 695 กิโลเมตร เท่ากับว่ารถยนต์คันนี้วิ่งด้วยอัตราสิ้นเปลือง 3.65 บาทต่อกิโลเมตร

แต่ถ้าตัดภาพมาที่ Honda CR-V ติดแก๊ส LPG ถังขนาดมาตรฐาน 58 ลิตร และมีราคาเชื้อเพลิงอยู่ที่ 13.12 บาท/ลิตร ในอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 12.2 กม./ล. หากเต็มแก๊สเต็มถังจะมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 760 บาท สามารถวิ่งได้ไกลถึง 707 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เท่ากับว่ารถยนต์คันนี้วิ่งด้วยอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 1.07 บาทต่อกิโลเมตร

หากมองตามที่เราเปรียบเทียบไปเมื่อสักครู่ จะเห็นได้ว่า “รถยนต์ติดแก๊สชนะขาด” เนื่องจากมีอัตราสิ้นเปลืองที่น้อยกว่า แต่ในกรณีที่คุณต้องการได้รับฟังก์ชันเพิ่มเติม การตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ก็จะตอบโจทย์ในส่วนนี้ได้มากกว่า เช่น ความเงียบ อัตราการเร่ง การดูแลรักษา และอื่น ๆ เพียงแค่เลือกใช้งานตามความเหมาะสมถือว่าตอบโจทย์ความต้องการได้ดีมากที่สุดแล้วล่ะ

ต้องแอบกระซิบก่อนว่า
ข้อมูลที่เรานำมาบอกต่อในวันนี้สามารถ “เปลี่ยนแปลง” ได้ในอนาคต ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ มากมาย เช่น ระยะทาง ราคาน้ำมัน ราคาชาร์จไฟ และอื่น ๆ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้งานรถยนต์ประเภทไหนก็อย่าลืมเพิ่มความอุ่นใจตลอดการเดินทางด้วย “ประกันรถยนต์”​ ด้วยล่ะ ! ถ้าไม่รู้ว่าจะซื้อประกันรถยนต์กับที่ไหน แผนความคุ้มครองเป็นอย่างไร สามารถเปรียบเทียบประกันออนไลน์ได้แล้ววันนี้ ที่เว็บไซต์ MrKumka คลิกเลย ! ความคุ้มครองที่ตอบโจทย์กำลังรอคุณอยู่ !

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่