การเป็นเจ้าของรถไฟฟ้าในไทยในยุคนี้ เรื่องของการใช้งานที่ประหยัดหรือเทคโนโลยีที่ได้มากกว่ารถสันดาปได้พิสูจน์ให้เห็นกันอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่สนใจแต่ไม่ควรมองข้ามคือ การดูแลแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV ซึ่งเป็นหัวใจหลักของระบบขับเคลื่อน เพื่อให้มั่นใจว่าแบตรถไฟฟ้าจะมีอายุที่ยืนยาว และให้ประสิทธิภาพที่ดีตลอดการใช้งาน เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ยังไงก็ยังต้องใช้เวลาเป็นคำตอบ เรื่องแบตฯ EV ที่ต้องให้ความสำคัญเท่า ๆ กับตัวรถ หัวใจของรถไฟฟ้ายุคใหม่ ก้าวต่อไปแห่งยานยนต์อนาคต มิสเตอร์ คุ้มค่า รวมเคล็ดลับวิธีถนอมแบตเตอรี่ และสิ่งที่ควรระวัง รวมถึงแง่มุมของประกันรถไฟฟ้ามาให้แล้ว
ทำไมต้องดูแลแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV อย่างจริงจัง?
เพราะแบตรถไฟฟ้า คือ “หัวใจ” ถ้ามีปัญหาหรือเสื่อมสภาพเร็ว จะทำให้ระยะทางวิ่งลด ความจุไฟตก หรืออาจต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV ใหม่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง การลงทุนในวิธีถนอมแบตเตอรี่ตั้งแต่ต้น จะส่งผลต่อดีดังต่อไปนี้
- ลดต้นทุนระยะยาว
- ใช้งานรถได้นานขึ้น
- ลดปัญหาการบำรุงรักษา
- เพิ่มความมั่นใจในการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าในไทย
พร้อมที่จะเปรียบเทียบประกันรถยนต์หรือยัง?
หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ
ปัจจัยใดที่เร่งให้แบตรถไฟฟ้า EV เสื่อมเร็ว?
หลายคนรู้แล้วว่าแบตรถไฟฟ้าคือหัวใจหลัก แต่รู้หรือไม่ว่า ‘เบื้องหลัง’ มันมีระบบซับซ้อนมากกว่าที่คิด ก่อนจะไปเจาะลึกวิธีถนอมแบตเตอรี่ ลองมาทำความเข้าใจพื้นฐานของแบตฯ และรู้จักปัจจัยที่เร่งการเสื่อม เพื่อป้องกันปัญหาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ กันหน่อย
- แบตเตอรี่รถไฟฟ้ามักใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Li-on) ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องความร้อน, ความเครียดของวงจรชาร์จ-คายประจุ และพฤติกรรมการใช้งาน
- การใช้งานที่รุนแรง เช่น การชาร์จเร็ว (DC) บ่อย ๆ หรือใช้จนแบตหมด 0% แทบทุกครั้ง จะเร่งกระบวนการเสื่อมของเซล
- อุณหภูมิแวดล้อมสูงและต่ำเกินไป เป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ทำให้แบตรถไฟฟ้า EV เสื่อมเร็ว
- ระบบจัดการแบตเตอรี่ (Battery Management System: BMS) ของรถ มีบทบาทสำคัญในการควบคุม และรักษาความสมดุลของเซล
เมื่อซื้อรถไฟฟ้าในไทยควรตรวจสอบเงื่อนไขประกันรถไฟฟ้า และเงื่อนไขแบตเตอรี่ เช่น การรับประกันสุขภาพแบตเตอรี่ (Battery Warranty) ที่กำหนดเงื่อนไขว่ายังต้องมีความจุเหลือเท่าใดภายในกี่ปีให้ดี เพื่อความอุ่นใจในระยะยาว ซึ่งสามารถเข้ามาเปรียบเทียบประกันรถไฟฟ้า EV กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ก่อนใครได้ตลอด 24 ชั่วโมง
จะดูแลแบตรถไฟฟ้าอย่างไร ให้ใช้งานได้นานที่สุด?
แม้เทคโนโลยีแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV จะพัฒนาไปไกลในปัจจุบัน แต่ถ้าคุณยังคงใช้งานผิดวิธี แบตก็เสื่อมเร็วได้ง่าย ๆ มิสเตอร์ คุ้มค่า จึงได้รวบรวมวิธีถนอมแบตเตอรี่ง่าย ๆ ต่อไปนี้ มาช่วยให้คุณยืดอายุแบตเตอรี่ พร้อมประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้จริง
1. จำกัดช่วงการชาร์จไม่ให้ถึง 100% เสมอไป
การชาร์จแบตจนเต็ม 100% เป็นประจำ จะทำให้แรงดันสูงสุดที่เซลแบตเตอรี่ทำงานตลอดเวลา ซึ่งเร่งให้สารเคมีภายในเสื่อมเร็วกว่าเดิม แนะนำให้ชาร์จอยู่ในช่วงประมาณ 20-80% สำหรับการใช้งานทั่วไป ถ้าต้องเดินทางไกลจริง ๆ ถึงค่อนชาร์จให้ใกล้เต็ม แต่ไม่ควรปล่อยไว้ในสถานะ 100% เป็นเวลานาน
2. ใช้การชาร์จที่มีความเร็วปานกลาง (AC หรือ Level 2) เป็นหลัก
หลายคนทราบดีว่าสถานีชาร์จรถไฟฟ้าแบบเร็ว (DC fast charge) มีข้อดีเรื่องเวลา ชาร์จไฟได้เร็วในช่วง 30-60 นาที แต่มักทำให้เกิดความร้อนและความเครียดในแบตเตอรี่ หากใช้บ่อย ๆ จะเร่งการเสื่อมของแบต ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น
ค่าชาร์จรถไฟฟ้า - ค่าใช้จ่ายที่ผู้ใช้ EV ควรรู้
การชาร์จรถ EV นอกบ้านบางสถานีชาร์จรถไฟฟ้า “ไม่ฟรี” คุณต้องจ่ายค่าชาร์จไฟเหมือนกับการเติมน้ำมัน เพียงแต่ต้นทุนราคาชาร์จรถไฟฟ้าจะต่ำกว่ามากในหลายกรณี สำหรับรถไฟฟ้าในไทยมีค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ดังนี้
- PEA VOLTA: อัตราตามประกาศใหม่ (มีผลตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2568) แบ่งเป็นช่วงเวลา Peak/Off-Peak อยู่ที่ 5.3-9.7 บาท/หน่วย (kWh) ขึ้นอยู่กับชนิดสถานีและเวลาที่ใช้
- บางสถานีสาธารณะ (DC Fast Charger): มีอัตราปานกลาง 6-9 บาท/หน่วย
- บางสถานีในห้าง หรือจุดบริการ: อาจใช้ราคาพิเศษหรือโปรโมชั่นลดหย่อน
กรณีที่คุณ “ชาร์จไฟที่บ้าน” ค่าไฟในไทยมักอยู่ในช่วง 4-5 บาท/หน่วย (kWh) ซึ่งถ้าแบตรถไฟฟ้ามีความจุ 60 kWh การชาร์จเต็มจะมีค่าไฟประมาณ 240-300 บาท
3. หลีกเลี่ยงการคายประจุจน 0%
อย่าใช้จนแบตฯ เหลือ 0% ขนาดมือถือยังเปิดขึ้นใหม่ยาก และแบตฯ ลูกโต ๆ อย่างแบตรถ EV จะต้องทำงานหนักแค่ไหน คุณลองคิดดู หากรถแบตหมดเกลี้ยงบ่อย ๆ จะทำให้เซลแบตรถไฟฟ้าได้รับความเครียดอย่างหนัก ควรชาร์จเมื่อแบตเหลือต่ำกว่า 20-30% และพยายามไม่ให้ต่ำกว่านี้บ่อย
*หมายเหตุ: กรณีที่คุณจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ควรเก็บแบตเตอรี่ไว้ในระดับกลาง เช่น 40-60% และหมั่นปิดระบบ BMS หรือโหมดพัก (ถ้ามี) เพื่อรักษาสมดุลภายใน4. อย่าชาร์จในช่วงอุณหภูมิสูงจัด
เนื่องจากอุณหภูมิสูงเป็นตัวเร่งการเสื่อมของแบตเตอรี่ ถ้าแบตฯ ร้อนเกินไป การชาร์จจะก่อให้เกิดความเครียดทางเคมีภายใน แนะนำให้หลีกเลี่ยงการชาร์จกลางแจ้งในแดดร้อนจัด หากรถมีระบบระบายความร้อนของแบตเตอรี่ เช่น น้ำหล่อเย็น ก็ควรเปิดใช้งาน หรือให้ระบบจัดการได้เต็มที่
5. หมั่นตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่
ควรใช้ฟังก์ชันตรวจสอบแบตฯ ที่รถมีให้ (บางรุ่นอาจแสดง % สุขภาพ หรือ State of Health) หรือถ้าเป็นไปได้ ให้ใช้อุปกรณ์ OBD/แอปที่รองรับการวัดการเสื่อมของเซล แบตเตอรี่ที่มีช่องเซลไม่สมดุลควรได้รับการปรับบาลานซ์ที่ศูนย์ซ่อมรถ หรืออู่ซ่อมที่เชื่อถือได้
ไขข้อสงสัย รถไฟฟ้าชาร์จแบตกี่ชั่วโมง?
เมื่อรู้วิธีถนอมแบตเตอรี่แล้ว เรามาดูเรื่อง ‘ระยะเวลาในการชาร์จ’ กันต่อเลยดีกว่า เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้ใช้รถไฟฟ้า EV อยากรู้มากที่สุด ซึ่งถ้าคุณเป็นหนึ่งคนที่สงสัยว่า “รถไฟฟ้าชาร์จแบตกี่ชั่วโมง “ ตอบตรง ๆ เลยว่าขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ดังนี้
- กำลังชาร์จ (kW) ของสถานีชาร์จรถไฟฟ้า
- ความจุแบตเตอรี่ (kWh) ของรถ
- สถานะเริ่มต้น (ก่อนชาร์จแบตเหลือกี่เปอร์เซ็นต์)
- ประสิทธิภาพระบบ
- อุณหภูมิขณะชาร์จ
ตัวอย่างสมมติ
- ถ้าใช้เครื่องชาร์จแบบ AC เช่น 7 kW กับแบต 50 kWh ถ้าชาร์จตั้งแต่ 0-100% อาจใช้เวลาราว 7-8 ชั่วโมง
- ถ้าใช้ Fast Charger กับแบต 50 kW อาจชาร์จ 20-80% ได้ภายใน 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับรถและระบบระบายความร้อน
การดูแลแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV ไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณใช้หลัก “ชาร์จพอเหมาะ ใช้งานสมดุล หลีกเลี่ยงความร้อนจัด” และหมั่นตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ รวมถึงวางแผนการชาร์จให้ดี โดยเฉพาะบริบทรถไฟฟ้าในไทยที่สถานีชาร์จรถไฟฟ้ากำลังพัฒนาต่อเนื่อง และค่าชาร์จรถไฟฟ้ายังเป็นจุดที่ผู้ใช้ให้ความสำคัญมากเป็นอันดับต้น ๆ
คำจำกัดความ
| ความเครียดของวงจรชาร์จ | การปล่อยให้แบตเตอรี่อยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ความเครียดนี้เกิดขึ้นจากการชาร์จเกิน 100% (Full charge) หรือปล่อยให้แบตเตอรี่คายประจุจนหมด (Deep discharge) บ่อยครั้ง |
| อุปกรณ์ OBD | อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับระบบวินิจฉัยบนรถยนต์ (OBD หรือ On-board Diagnostics) ซึ่งจะช่วยตรวจสอบและวิเคราะห์การทำงานของรถยนต์ ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำหรับช่างซ่อมหรือผู้ขับขี่ในการดึงข้อมูลจากกล่องควบคุมเครื่องยนต์ (ECU) ผ่านพอร์ต OBD2 เพื่อตรวจจับปัญหา ระบุสาเหตุการทำงานผิดปกติ และตรวจสอบสมรรถนะของรถได้ |
| ระบบ BMS | ระบบจัดการแบตเตอรี่ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ควบคุม และปกป้องแบตเตอรี่ เพื่อให้ทำงานได้อย่างปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น |



