เบี้ยประกันรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายที่คนมีรถทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเลือกทำประกันชั้น 1 หรือชั้น 2+ ที่ต้องจ่ายปีละหลายพันถึงหมื่นบาท แต่สิ่งที่หลายคนสังเกต คือ ทําไมเบี้ยประกันขึ้นทุกปี ทั้งที่ไม่ได้เคลมหรือไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย มิสเตอร์ คุ้มค่า จะพาไปหาคำตอบแบบละเอียด พร้อมแนะนำวิธีลดเบี้ยประกันรถยนต์ โดยอ้างอิงปัจจัยที่บริษัทประกันใช้ในการคำนวณเบี้ยประกันภัย รวมถึงอายุการใช้งานรถยนต์ อัตราค่าสินไหมทดแทน และสิทธิพิเศษอย่างส่วนลดประวัติดีที่หลายคนยังไม่รู้
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับขึ้นเบี้ยประกันภัยรายปี
ทำความเข้าใจก่อนว่าเบี้ยประกันรถยนต์ ไม่ได้มีการคำนวณแบบตายตัว แต่ปรับตาม ‘ความเสี่ยง’ ของผู้เอาประกันภัยและตัวรถคันเอาประกัน มิสเตอร์ คุ้มค่า รวบรวมปัจจัยหลักมาให้ทำความเข้าใจเพิ่มเติม โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. อายุการใช้งานรถยนต์
รถที่มีอายุการใช้งานมากขึ้น มักมีโอกาสเสียหายสูงขึ้น รวมถึงอะไหล่บางชิ้นเริ่มเสื่อมสภาพ บริษัทประกันมองว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องปรับเบี้ยประกันภัยให้สอดคล้องกับอายุรถ
- รถใหม่ อายุไม่เกิน 5 ปี: มักมีค่าเบี้ยสูงกว่ารถเก่า เพราะค่าซ่อมแพง
- รถเก่า อายุเกิน 7 ปี: เบี้ยอาจลดลงบ้าง แต่ต้องทำประกันชั้น 2+ หรือ 3+
2. ประวัติการเคลม
หากในปีก่อนหน้าคุณมีการแจ้งเคลมประกันรถยนต์บ่อย สิ่งที่ตามมาคือเบี้ยปีถัดไปมักเพิ่มขึ้น เพราะบริษัทประเมินว่าคุณมีความเสี่ยงสูง ในการเกิดอุบัติเหตุซ้ำ
3. พฤติกรรมขับขี่
ปัจจุบันบริษัทประกันบางแห่งนำระบบ Telematics มาใช้ในการประเมินเบี้ย หากขับรถปลอดภัยมีโอกาสได้รับส่วนลด แต่ถ้าขับเร็ว เบรกกระชั้นชิด หรือละเลยความปลอดภัย เบี้ยอาจเพิ่ม
4. ค่าซ่อมและค่าแรงที่เพิ่มขึ้น
ค่าซ่อมรถยนต์ ค่าแรงช่าง และอะไหล่เพิ่มขึ้นทุกปี ส่งผลให้บริษัทประกันปรับเบี้ยเพื่อให้สามารถครอบคลุมอัตราค่าสินไหมทดแทนได้อย่างเพียงพอ
5. ปัจจัยภายนอก
เช่น เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ ที่ทำให้จำนวนเคลมเพิ่มขึ้น ล้วนส่งผลต่อการขึ้นเบี้ยในภาพรวมของอุตสาหกรรมทั้งสิ้น
อายุเพิ่ม = เบี้ยแพงขึ้น จริงหรือไม่?
จริงในหลายกรณี คำถามนี้ถือเป็นคำถามยอดนิยมของคนทำประกัน ในความเป็นจริงบริษัทประกันมักใช้ “อายุของผู้ขับขี่หลัก” เป็นหนึ่งในเกณฑ์ประเมินความเสี่ยง โดยมีการแบ่งเกณฑ์ดังต่อไปนี้
- อายุน้อยกว่า 25 ปี: มีแนวโน้มเกิดอุบัติเหตุสูง เบี้ยแพง
- อายุช่วง 30-60 ปี: ถือเป็นช่วงปลอดภัย เบี้ยถูกลง
- อายุ 65 ปีขึ้นไป: อาจถูกมองว่ามีปฏิกิริยาช้าลง เบี้ยเริ่มสูงขึ้น
วิธีลดเบี้ยประกันรถยนต์แบบมือโปร
หลังจากเข้าใจแล้วว่าทําไมเบี้ยประกันขึ้นทุกปี แต่คุณก็ไม่อยากจ่ายเบี้ยประกันแพงทุกปี และกำลังมองหาวิธีลดเบี้ยประกันรถยนต์ ลองนำเทคนิคต่อไปนี้ไปใช้ได้เลย
- อย่าลืมขอส่วนลดประวัติดี: หากไม่มีการเคลมในปีก่อนหน้า คุณมีสิทธิขอส่วนลดประวัติดีสูงสุดถึง 50% ซึ่งหลายคนลืมใช้สิทธินี้
- เลือกแผนมีค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible):คือ แบบประกันที่คุณยอมรับผิดชอบค่าเสียหายบางส่วนเอง เช่น 2,000 บาทแรก เพื่อให้เบี้ยถูกลงได้หลายพันบาท
- เปลี่ยนประเภทประกัน: จากชั้น 1 มาเป็น 2+ หรือ 3+ โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีอายุ 5-7 ปี และคุณขับรถอย่างระมัดระวัง ประกันประเภทที่เปลี่ยนอาจให้ความคุ้มครองที่เพียงพอ ในราคาที่ถูกลงกว่าครึ่ง
- ใช้โบรกเกอร์หรือเว็บเปรียบเทียบ: การเปรียบเทียบประกันรถยนต์กับเว็บต่าง ๆ ช่วยให้คุณเห็นเบี้ยจากหลายบริษัท และเลือกราคาดีที่สุดได้ในไม่กี่นาที
- จ่ายเบี้ยแบบรายปี: หลายบริษัทคิดดอกเบี้ยเมื่อคุณผ่อนเบี้ยแบบรายเดือน หากมีเงินก้อนการเลือกจ่ายแบบรายปีจะประหยัดกว่า
อัตราค่าสินไหมและสถิติความเสี่ยงเกี่ยวข้องอย่างไรกับเบี้ยประกัน
ทำความเข้าใจก่อนว่าอัตราค่าสินไหมทดแทน คือ สัดส่วนระหว่างเงินที่บริษัทประกันต้องจ่ายจากการเคลม กับเบี้ยที่เก็บจากลูกค้า เช่น บริษัทเก็บเบี้ย 100 ล้านบาท แต่ต้องจ่ายค่าสินไหม 80 ล้านบาท หมายความว่าอัตราค่าสินไหม = 80% หากอัตรานี้สูง บริษัทประกันจำเป็นต้องปรับเบี้ยในปีถัดไปให้สูงขึ้น เพื่อให้ยังสามารถจ่ายเคลมได้ในอนาคต
สถิติความเสี่ยงถูกนำมาใช้อย่างไร?
บริษัทประกันจะประเมินความเสี่ยงจากหลายมิติ ดังนี้
- พื้นที่เสี่ยงสูง: เขตเมือง, แยกอันตราย, พื้นที่เกิดอุบัติเหตุบ่อย
- ประเภทรถ: รถสปอร์ต หรือรถหรู รถที่แพงที่สุดในไทยมีความเสี่ยงและค่าซ่อมสูง
- ประวัติของผู้เอาประกัน: เคยเคลมหรือไม่ เกิดอุบัติเหตุบ่อยหรือเปล่า
ซึ่งสถิติเหล่านี้ถูกใช้เพื่อ “สร้างโปรไฟล์ความเสี่ยง” และคำนวณเบี้ยประกันภัยเฉพาะราย ทำให้ผู้ขับขี่แต่ละคน แม้จะใช้รถรุ่นเดียวกันก็จ่ายเบี้ยไม่เท่ากัน
ซื้อประกันใหม่ทุกปี vs ต่ออายุกรมธรรม์เดิม แบบไหนตอบโจทย์กว่า?
เมื่อครบปีหลายคนอาจลังเลว่า ต่ออายุกรมธรรม์เดิม vs ซื้อประกันรถยนต์ใหม่ อะไรตอบโจทย์กว่ากัน หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังหาคำตอบในเรื่องนี้ ตามไปดูข้อดีและข้อจำกัดของทั้งสองอย่างก่อนตัดสินใจพร้อม ๆ กันเลย
ซื้อประกันใหม่ทุกปี
ข้อดี
- ได้เปรียบเทียบเบี้ยประกันจากหลายบริษัท
- ปรับความคุ้มครองให้ตรงกับการใช้งานปัจจุบันได้
- มีโปรโมชั่นลดแจกแถมสำหรับลูกค้าใหม่
ข้อจำกัด
- อาจเสียเวลาในการกรอกข้อมูลใหม่ทุกครั้ง
- หากเคลมบ่อย บริษัทใหม่อาจปฏิเสธรับประกัน
ต่ออายุกรมธรรม์เดิม
ข้อดี
- ได้ส่วนลดประวัติดี หากไม่มีการเคลม
- ไม่ต้องตรวจสอบข้อมูลใหม่
- คุ้มครองต่อเนื่อง ไม่ขาดช่วง
ข้อจำกัด
- เบี้ยอาจแพงขึ้น โดยเฉพาะหากไม่มีการเปรียบเทียบกับตลาด
- ไม่ได้สิทธิพิเศษหรือโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าใหม่
หากคุณมีประวัติดีและบริษัทเดิมให้ส่วนลดประวัติดีสูง เช่น 20%-50% การต่ออายุกรมธรรม์เดิมอาจคุ้มค่ากว่า แต่ถ้าเบี้ยปีถัดไปสูงเกินหรือเงื่อนไขไม่ดี ควรลองเปรียบเทียบหลายบริษัทก่อนตัดสินใจ เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มค่ามากที่สุด
สรุปอีกครั้งว่าทําไมเบี้ยประกันขึ้นทุกปี คำตอบอยู่ที่หลายปัจจัย เช่น อายุการใช้งานรถยนต์, พฤติกรรมการขับขี่, ค่าอะไหล่และค่าแรงที่สูงขึ้น รวมถึงอัตราค่าสินไหมทดแทนของอุตสาหกรรมโดยรวม แต่คุณสามารถควบคุมหรือลดเบี้ยประกันได้ หากวางแผนเป็นอย่างดี เช่น ดูแลประวัติให้ไม่มีการเคลม ใช้สิทธิส่วนลดประวัติดี และเปรียบเทียบเบี้ยประกันใหม่ทุกปีอย่างชาญฉลาด
คำจำกัดความ
ระบบ Telematics | อุปกรณ์ติดรถเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการขับ |
ปฏิกิริยา | การกระทำตอบสนอง, การกระทำต่อต้าน |
อัตราค่าสินไหม | จำนวนเงินหรือค่าชดเชยที่บริษัทประกันภัยจ่ายให้กับผู้เอาประกันภัยหรือคู่กรณีที่ได้รับความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่อยู่ในความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย |