การซื้อรถใหม่โดยเฉพาะรถยนต์มือสองถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และช่วยประหยัดเงินได้มาก เมื่อเทียบกับราคารถรุ่นนั้น ๆ ในตอนที่ยังอยู่สถานะป้ายแดง แต่อีกด้านต้องเลือกให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ให้ได้รถมือสองที่คุ้มค่าเหมาะสมกับราคาที่จ่ายไป หนึ่งในสิ่งที่หลายคนไม่รู้ในการซื้อรถมือสองคือ วิธีเช็กประวัติรถยนต์ เบื้องต้นเพื่อปลายทางค้นฟ้าคว้ารถมือสองสภาพนางฟ้าของคุณ มิสเตอร์ คุ้มค่า จึงอยากจะมาแนะนำ 5 วิธีเช็กรถมือสองแบบง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำตามได้ เพื่อให้มั่นใจในการเลือกซื้อรถยนต์มือสองที่ดีที่สุด ต้องเช็กรถมือสองยังไง ตามไปดูกันเลย
1. ตรวจสอบประวัติรถ
การตรวจสอบประวัติรถใช้แล้วจริง ๆ ไม่ยากอย่างที่คิด โดยเฉพาะเมื่อคุณซื้อรถมือสองจากเต็นท์รถ แม้จะมีขั้นตอนเยอะสักหน่อยแต่หาใช่ว่าจะเช็กไม่ได้เลย พอจะมีวิธีอยู่บ้าง! ดังนั้นหากคุณซื้อรถตามเต็นท์รถ ก็ต้องเช็กเยอะหน่อย โดยสามารถเช็กประวัติของรถได้ดังนี้
1.1 ตรวจสอบกับกรมขนส่งทางบก
สามารถนำหมายเลขทะเบียนรถหรือเลขตัวถัง (VIN) ไปตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียน และประวัติการโอนกรรมสิทธิ์ได้ที่สำนักงานขนส่งจังหวัดหรือสำนักงานขนส่งสาขาที่รถนั้นจดทะเบียน เพื่อให้มั่นใจว่ารถคันนั้น “คลีน” ไม่มีประวัติทั้งในกรณีที่เป็นรถถูกขโมยมาหรือเป็นรถที่อยู่ในประวัติอาชญากรรมก็ตาม
1.2 สอบถามจากบริษัทประกันภัย
อีกทางเลือกเพื่อหาประวัติการเคลม ได้รู้ว่ารถคันนั้น ๆ เคยผ่านการชนมาหรือไม่ เคยเกิดอุบัติเหตุหนักหรือเปล่า รู้ได้ด้วยวิธีนี้ หากคุณทราบว่ารถคันดังกล่าวเคยทำประกันภัยไว้กับบริษัทใด สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติการเคลมประกันของรถคันนั้นได้
1.3 ศูนย์บริการตรวจสอบสภาพรถ
บางศูนย์บริการในประเทศไทย มีบริการตรวจสอบประวัติการซ่อมบำรุงรถยนต์ รวมถึงตรวจเช็กสภาพเครื่องยนต์ ระบบไฟ และอื่น ๆ รถคันที่สนใจเป็นแบรนด์อะไร รุ่นอะไร ไปลองเอาเลขทะเบียนเช็กดูก่อน รถคันนั้นเจ้าของเก่าดูแลดีไหม เข้าศูนย์เช็กบำรุงเป็นประจำหรือเปล่า คุณจะรู้ได้ด้วยวิธีนี้
1.4 เช็กประวัติออนไลน์
ถึงแม้ประเทศไทยยังไม่มีเว็บไซต์ใหญ่ ๆ เป็นทางการในการเช็กประวัติรถออนไลน์ แต่หากลองเสิร์ช “เช็กประวัติรถ” บนเฟสบุ๊ค ก็มีหลายเพจรับเช็กประวัติรถจากเลขตัวถัง หรือทะเบียนรถคันนั้น ๆ แบบมีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ อย่าลืมตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากรีวิวการใช้บริการ
พร้อมที่จะเปรียบเทียบประกันรถยนต์หรือยัง?
หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ
2. ตรวจสอบสภาพภายนอก
ตรวจสอบรอยบุบ รอยขีดข่วน หรือสีที่ซีดจาง ลองดูตามตะเข็บฝากระโปรงหน้า หรือฝากระโปรงหลัง หากสีหนาหลายชั้นแสดงว่ารถคันนั้นผ่านการทำสีมาก่อน และดูที่น็อต รถมือสองที่ไม่เคยชนหรือไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ ตัวน็อตที่จุดสำคัญจะต้องไม่มีรอยหมุนออกหรือผ่านการขันใด ๆ
สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดหากจะเช็กสภาพรถที่ภายนอก อย่าเช็กตอนมืดหรือตอนที่มีแสงน้อย ๆ เด็ดขาด เพราะแค่ไฟฉายมาใช้ส่องอาจทำให้คุณพลาดสิ่งที่สำคัญในการตรวจสอบรถคันนั้นไป ดีที่สุดเลือกไปดูรถตอนเที่ยงหรือบ่าย ตอนที่แสงยังสว่างมาก ๆ ได้เห็นสีตัวรถชัด ๆ ถ้ารถเคยทำสีแค่บางส่วนมา เมื่อสะท้อนกับแสงแรง ๆ จะเห็นความไม่เท่ากันของสีรถได้ง่ายกว่า
อย่าลืม! สังเกตความผิดปกติของตัวถัง
สิ่งสำคัญนอกจากการทำความเข้าใจวิธีเช็กประวัติรถยนต์อย่างละเอียดแล้ว อย่าลืมสังเกตความผิดปกติของตัวถังด้วย ลองดูว่ามีการบิดเบี้ยวหรือรอยต่อที่ไม่แนบเนียนหรือไม่ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณว่ารถคันนั้นเคยชนหนักมาก่อน
รวมไปถึง “เลขตัวถัง” ที่ควรอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ชัดเจน ไม่มีร่องรอยในการแก้ไข และตรงกับเลขในเล่มทะเบียน หากในส่วนนี้ไม่ตรงกัน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นรถที่ถูกโจรกรรมมา หรือตัดต่อ ดัดแปลงเครื่องมาอย่างผิดกฎหมาย
3. ตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์
เครื่องยนต์คือหัวใจสำคัญของรถ จึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีการรั่วของน้ำมัน หรือเสียงที่ผิดปกติเมื่อสตาร์ทรถ เป็นไปได้ควรทดลองขับเพื่อทดสอบการทำงานของเครื่องยนต์ในการใช้งานจริง นอกจากนี้ยังควรสังเกตเสียงแปลก ๆ ขณะเครื่องยนต์ทำงาน เช่น เสียงดังผิดปกติในขณะเร่งเครื่อง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่ามีปัญหาภายในเครื่องยนต์
4. ตรวจสอบระยะเบรก
ในด้าน “ความปลอดภัย” ระบบเบรกเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ควรตรวจสอบว่าคุณสามารถเหยียบเบรกได้ปกติ ไม่มีอาการเบรกแข็ง ไม่มีเสียง หรือการกระตุก พร้อมตรวจสอบน้ำมันเบรกและการสึกของผ้าเบรก ว่ามีการเปลี่ยนตามระยะหรือไม่ หากมีการเปลี่ยนตามระยะ แปลว่ารถได้รับการดูแลจากเจ้าของรถคันเก่าเป็นอย่างดี
5. ระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า
ตรวจสอบไฟหน้ารถยนต์ ไฟท้าย ไฟเบรก และไฟเลี้ยวว่าทำงานปกติหรือไม่ มีไอน้ำหรือหยดน้ำเกาะภายในฝาครอบไฟหรือเปล่า หากมีอาจแปลว่ามีการร้าวจากการโดนรถชน หรือมีรูรั่ว อย่าลืมตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถ เช่น กระจกไฟฟ้า วิทยุ และระบบแอร์
เนื่องจากระบบไฟฟ้าสำคัญมาก นอกจากควรตรวจสอบเพื่อดูการใช้งานแล้ว หากระบบไฟฟ้าทำงานไม่ปกติอาจเป็นสัญญาณว่ารถคันนั้น เคยผ่านน้ำท่วมหรือตกน้ำมาก่อน เพราะฉะนั้นต้องเช็กให้ดีก่อนตัดสินใจ
รถยนต์มือสอง เลือกประกันประเภทไหนดี?
หากคุณเปลี่ยนรถยนต์โดยการซื้อรถมือสองมาจากเต็นท์รถ กรมธรรม์ประกันภัยเดิมจะสิ้นสุดความคุ้มครองนับตั้งแต่วัน เวลาที่มีการขายรถยนต์ พูดง่าย ๆ ว่าจะไม่มีประกันรถยนต์ติดมาด้วย คุณจะต้องซื้อประกันภัยรถยนต์เอง ซึ่งประกันที่เหมาะสำหรับรถยนต์มือสองที่ มิสเตอร์ คุ้มค่า แนะนำ คือ ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ที่คุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 ในราคาที่ประหยัดกว่า แถมยังครอบคลุมไปถึงรถหาย และไฟไหม้อีกด้วย
แต่ถ้าหากคุณซื้อรถยนต์มือสองอายุเกิน 20 ปี หรือไม่มีความกังวลเรื่องรถหายหรือไฟไหม้ และต้องการประหยัดงบมากขึ้น ขอแนะนำประกันรถยนต์ ชั้น 3+ ที่ให้ความคุ้มครองแบบไม่จำกัดอายุรถ อย่างไรก็ตามแนะนำให้เปรียบเทียบประกันรถยนต์ก่อนตัดสินใจ เพื่อความคุ้มครองที่ตอบโจทย์มากที่สุด โดยสามารถเข้ามาเช็กราคากับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้เลย ที่นี่ยินดีนำเสนอแผนประกันที่ใช่ ในราคาสบายกระเป๋าให้คุณ รับใบเสนอราคาฟรี ไม่ยุ่งยาก แถมยังเลือกผ่อนจ่ายได้อีกด้วย
เอกสารต่อประกันรถยนต์ มีอะไรบ้าง?
ในการต่อประกันรถยนต์แต่ละครั้งนั้น ควรเตรียมเอกสารที่ใช้ให้พร้อม เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาทั้งตัวเราและทางบริษัทประกัน โดยเอกสารที่ต้องเตรียมมีดังนี้
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาใบขับขี่
- สำเนากรมธรรม์ประกันรถยนต์ปัจจุบัน หรือใบเตือนต่ออายุ (ถ้ามีเอกสารใบเตือนการต่อประกันรถยนต์อ้างอิง จะทำให้ประหยัดค่าเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น)
- สำเนาหนังสือจดทะเบียนรถยนต์
ว่าด้วย 5 ส่วนต้องเช็กก่อนซื้อรถมือสอง การทำความเข้าใจวิธีเช็กประวัติรถยนต์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ เป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้อรถยนต์มือสองได้อย่างมั่นใจ ไม่เพียงแค่เช็กประวัติรถออนไลน์และเช็กประวัติรถจากเลขตัวถังเท่านั้น แต่ยังควรตรวจสอบประกันภัยรถยนต์มือสองและเอกสารต่อประกันรถยนต์ เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของเดิมได้ดูแลรักษารถดีแค่ไหน รวมถึงตรวจสภาพรถจริง ๆ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรถยนต์คันนั้น
คำจำกัดความ
| เลขตัวถัง | หมายเลขเฉพาะตัวอักษรและตัวเลข 17 หลักที่ใช้เป็น "เลขบัตรประชาชน" ของรถยนต์แต่ละคัน |
| ใบเตือนต่ออายุ | เอกสารแจ้งเตือนจากบริษัทประกันเดิมที่ส่งถึงผู้เอาประกัน เพื่อให้ทราบว่ากรมธรรม์ใกล้หมดอายุและถึงเวลาต่ออายุ |
| หนังสือจดทะเบียนรถ | หรือ “เล่มทะเบียนรถ” คือเอกสารสำคัญที่ออกโดยกรมการขนส่งทางบก เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของรถและระบุรายละเอียดของรถ เช่น ยี่ห้อ, รุ่น, หมายเลขตัวถัง, หมายเลขเครื่องยนต์ และประวัติการเปลี่ยนแปลงต่างๆ |



