เข้าใจความต่างของ Passive income กับ Active income
เพื่อวางแผนการเงิน สำหรับคุณ

แชร์ต่อ
Passive Income ในรูปแบบต่างๆ

หากคุณต้องการเป็นอีกหนึ่งคนที่ “มีอิสรภาพทางการเงิน” จำเป็นจะต้องมีการ วางแผนการเงิน ให้ดีซะก่อน และหลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่าอิสรภาพดังกล่าว มักเกิดขึ้นจาก “รายได้จากทรัพย์สิน (Passive Income)” และไม่ต้องพึ่งพา “รายได้จากการทำงาน (Active Income)” อีกต่อไป ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคิดเสมอไป MrKumka จึงทำการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาขยายความเพื่อให้คุณเข้าใจมากยิ่งขึ้น จะมีความน่าสนใจและมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ? ไปติดตามพร้อม ๆ กันได้เลย

อยากวางแผนการเงิน
ต้องเข้าใจ Passive Income และ Active Income ให้ดี

เข้าใจความต่างของ Passive income กับ Active income

หลายคนอาจจะรู้มาคร่าว ๆ แล้วว่าแต่ละคำมีความหมายว่าอย่างไร ดังนั้นเราจะไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา ไป “เจาะลึก” ความหมายแบบละเอียดของ Passive Income และ Active Income พร้อม ๆ กันเลย !

Passive Income คืออะไร ?

Passive Income คือการใช้เงินหรือทรัพย์สินทำงานแทน ด้วยการสร้างมูลค่าให้เพิ่มขึ้น อาทิ อสังหาริมทรัพย์ (ปล่อยเช่า) ลิขสิทธิ์ทางปัญญา การลงทุนหุ้น และการลงทุนในประเภทอื่น ๆ อาจจะต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย แต่ไม่เท่ากับแบบ Active Income ในปัจจุบันมี Passive Income แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

  • 1. Passive Income ในรูปแบบสวัสดิการ

    หากจะพูดให้เห็นภาพของ Passive Income รูปแบบนี้ คือ การเกษียณจากบำนาญของราชการ ประกันสังคม เบี้ยผู้สูงอายุ เงินบำนาญจากประกันบำนาญ ประกันสังคม ฯลฯ เป็นรายได้ที่จะได้รับในตอนที่เกษียณจากการทำงานแล้ว นับเป็นรายได้ที่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตาม “หลักเกณฑ์” ที่กำหนด ในช่วงเวลาที่คุณมีรายได้แบบ Active Income

  • 2. Passive Income ในรูปแบบของผลตอบแทนจากทรัพย์สินต่าง ๆ

    เช่น เงินปันผลจากประกันชีวิต เงินปันผลจากหุ้น ดอกเบี้ยเงินฝาก ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ เงินปันผลกองทุนรวมประเภทต่าง ๆ ฯลฯ ตรงตามหลัก “ใช้เงินทำงานแทนเรา” และเป็น Passive Income ที่หลาย ๆ คนเข้าใจกันเป็นอย่างดี ดังนั้นรูปแบบนี้จึงต้องใช้ความอดทนพยายาม จากการออมรายได้ Active Income เพื่อนำไปลงทุนสร้างทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้แบบ Passive Income นั่นเอง

  • 3. Passive Income ในรูปแบบของการให้สิทธิใช้งานทรัพย์สินทางปัญญา

    เช่น การเขียนหนังสือ บทความ ลิขสิทธิ์เพลง ลิขสิทธิ์การถ่ายภาพและวิดีโอ ฯลฯ ที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นได้ทั้ง Passive Income และ Active Income ดังนี้

    • – Passive Income คือการที่คุณเป็น “เจ้าของทรัพย์สิน” เพื่อแลกกับค่าลิขสิทธิ์ในการนำไปใช้ ตามเงื่อนไขที่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกัน
    • – Active Income คือการที่คุณ “รับจ้างผลิต” หรือ “ผลิต” เพื่อขายขาดเป็นครั้ง ๆ

ทั้ง 3 แบบ จะมีที่มาและที่ไปของรายได้แตกต่างกันอย่างชัดเจน หากคุณต้องการได้รับรายได้ในรูปแบบนี้เพียงอย่างเดียว (ไม่สนแบบ Active Income) แนะนำให้เลือกการลงทุนในแบบที่ตัวเองถนัดมากที่สุด เพื่อลด “ความเสี่ยง”​ ที่อาจจะตามมาในอนาคต รวมถึง วางแผนการเงิน เพื่อรับมือกับเรื่องไม่คาดฝัน ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาให้ดีด้วย ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะเดินไปไม่ถึงฝั่งฝันได้ในเร็ววันนี้

Active Income คืออะไร ?

Active Income เป็น “รายได้ที่ใช้เวลา” เพื่อทำงานสร้างรายได้ด้วยตัวเองและต้องลงมือทำอยู่ตลอด อย่างมนุษย์เงินเดือน ฟรีแลนซ์ ลูกจ้างรายวัน หรือบางประเภทเชื่อมโยงกับการลงทุนด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ขายของออนไลน์ ร้านขายของ และอื่น ๆ ถ้าหากหยุดทำงานหรือโดนไล่ออก รายได้ในส่วนนี้จะหายไปในทันทีผิดกลับ Passive Income ที่ไม่ต้องมีการลงทุนใด ๆ มากมายนัก เพียงแค่วางระบบให้ดีจะสามารถสร้างรายได้ให้คุณได้ตลอดเวลา

ความแตกต่างของ “รายได้” ทั้ง 2 รูปแบบ จะทำให้คุณเห็นแนวทางในการ “สร้างรายได้” ที่หลากหลายมากขึ้น แต่ยังต้องดูความเหมาะสมและแหล่งรายได้ให้ดีด้วย ในบางครั้งการเลือกรายได้แบบ Passive Income เพียงอย่างเดียว อาจจะไม่ตอบโจทย์ความต้องการ หรือสร้างความมั่นคงด้านการเงิน และการใช้ชีวิตให้กับคุณได้เสมอไป

เหตุผลที่ไม่ควรคาดหวัง Passive Income เพียงแค่อย่างเดียว !?

หลายคนเมื่อมีเงินทุนมากพอ จะเลือกที่จะหันมาคาดหวังรายได้แบบ Passive Income เพียงอย่างเดียว เพราะมองว่าเป็นการสร้างรายได้ที่ง่าย และไม่ต้องทำงานอยู่ตลอด ปล่อยให้ทรัพย์สินทำงานแทน มีเงินเข้ามาไม่ขาดมือ แต่ในความเป็นจริงนั้น คุณรู้ไหมว่า ? ปัญหาหลัก ๆ ที่คนที่มีหัวคิดด้านนี้ต้องเจอคือ “รายได้ที่ลดลง” เนื่องจากผลตอบแทนที่ต่ำลง ทำให้ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต และอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านการเงินในระยะยาว

การมีรายได้แบบ Active Income เข้ามาเกี่ยวข้อง ดูเหมือนว่าจะช่วยให้คุณมี “อิสรภาพทางการเงิน” ที่มากกว่าการเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกทำทั้ง 2 รูปแบบหรือไม่ก็ตาม ควรจะต้องวางแผนการใช้เงิน รวมถึงคำนวณ “ความสมดุล” ระหว่างรายจ่าย (เงินที่ใช้ลงทุน) และรายได้ (ผลตอบแทน) ให้ดีเสมอ เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะตามมาในอนาคต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่า จะเลือกเดินในเส้นทางไหน หรือจะเดินทั้งสองเส้นทางไปพร้อม ๆ กัน

เป็นอย่างไรกันบ้าง ?
สำหรับรายละเอียดของ Passive Income และ Active Income ที่เรานำมา “ขยายความ” ให้คุณในวันนี้ ช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้เยอะเลยใช่ไหมล่ะ ? แต่ตัวเลือกที่ดีที่สุดเราขอแนะนำให้คุณมี “แหล่งรายได้” ผสมผสานกันจะดีกว่า เพราะการที่คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินได้นั้น คุณจำเป็นจะต้องมีความมั่นคงทางการเงินซะก่อน เพียงเท่านี้คุณจะสามารถเดินไปถึง “เป้าหมายระยะยาว” ได้อย่างรวดเร็วแล้วล่ะ

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่