เพราะสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ “เด็ก” ที่มีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ทำให้เรื่อง ประกันสุขภาพเด็ก มีความสำคัญยิ่งขึ้นไปสำหรับมุมมองของคุณพ่อคุณแม่ เพราะตรงนี้จะเข้ามาช่วยในเรื่องค่ารักษาพยาบาลต่อการเจ็บป่วยแต่ละครั้งของเด็ก ๆ ที่ค่อนข้างแพงเอาเรื่อง ไม่มีประกันแล้วเข้าโรงพยาบาลทีรับรองว่าผู้ปกครองมีกุมขมับได้เลย
ประกันสุขภาพที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยแบ่งเบาภาระ รวมถึงกระจายความเสี่ยงได้ดีมาก ๆ คงจะดีไม่ใช่น้อยหากพ่อแม่ทุกคนมี “ตัวช่วย” ดี ๆ ที่คอยสร้างความอุ่นใจ แต่จะต้องทำตอนไหน? แพงไหม? และให้ความคุ้มครองอย่างไร? ไปหาคำตอบกันเลย
ประกันสุขภาพเด็ก (Children Insurance) คือ ประกันสุขภาพที่คุ้มครองดูแลเกี่ยวกับสุขภาพของเด็ก โดยเฉพาะในเรื่องของ “ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเมื่อยามเจ็บป่วย” ปัจจุบันสามารถซื้อความคุ้มครองได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขความคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไป เช่น คุ้มครองตั้งแต่เด็กยังไม่คลอด หรือเริ่มให้ความคุ้มครองระยะแรกเกิด 15-30 วัน ไปจนถึงอายุ 3-4 ปี หรือตามเงื่อนไขกรมธรรม์
นับเป็นประเด็นที่พ่อแม่หลายคนให้ความสนใจเป็นอันดับต้น ๆ ว่าทำไมประกันสุขภาพเด็กถึง “แพงกว่า” ประกันสุขภาพของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะ “เด็กแรกเกิด” นั่นเป็นเพราะว่าเด็กแรกเกิดมีความเสี่ยงที่มากกว่า หลัก ๆ เลยคือภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ บอบบาง ติดเชื้อง่าย แถมเด็กแรกเกิดยังไม่สามารถบอกหรือแสดงอาการได้เหมือนผู้ใหญ่ ดังนั้นนอกจากจะต้องสังเกตอาการ รอบผิดปกติตามร่างกายแล้ว แพทย์ยังต้องวินิจฉัยมากขึ้น เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างถูกต้องอีกด้วย
ตามปกติแล้วเด็กส่วนใหญ่จะป่วย 2-3 ครั้ง/ปี แถมค่าใช้จ่ายในแต่ละครั้งค่อนข้างสูง บางคนอาจต้องรักษาเป็นเวลานานหรือบางคนอาจต้องนอนรักษาที่โรงพยาบาล มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ คืนละ 10,000-20,000 บาท ยิ่งรักษาหลายวันค่าใช้จ่ายยิ่งเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่ “ประกันสุขภาพเด็กราคาแพงกว่าของผู้ใหญ่” นั่นเอง
ลูกคือ “แก้วตาดวงใจ” เจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ทีนี้พ่อแม่ก็ว้าวุ่นเลย ! และคงจะไม่ดีนักหากต้องมากังวลเรื่อง “ค่าใช้จ่าย” จากการรักษาพยาบาลที่ค่อนข้างสูง “ประกันสุขภาพเด็ก” จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญและช่วยแบ่งเบาภาระได้เป็นอย่างดี ไปดูกันเลยว่าประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ จะให้ความคุ้มครองลูกน้อยของคุณยังไงบ้าง ?
สิ่งแรกที่พ่อแม่และลูกของคุณจะได้รับ เมื่อตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพเด็ก คือ ความคุ้มครองค่าห้องและค่ารักษาพยาบาล โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้
ประกันสุขภาพเด็กจะ “ระบุจำนวนวงเงินคุ้มครอง” แยกจากค่าห้องและค่ารักษาพยาบาลปกติ แถมยังมี “เงื่อนไข” ที่แยกออกมาด้วย โดยแบ่งได้ 3 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้
เพราะเด็กมีช่วงเวลาที่ต้องอยู่ในสังคมหมู่มาก โดยเฉพาะการไปโรงเรียน ดังนั้นการเฝ้าระวังลูก ๆ ของคุณตลอดเวลา อาจเป็นไปได้ยาก รวมถึงตัวเด็กเองที่ไม่มีการระวังตัวใด ๆ มากนักเท่าผู้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ลูกน้อยของคุณเกิด “โรคในวัยเด็ก” ได้ โรคที่ประกันสุขภาพเด็กให้ความคุ้มครองมีดังนี้
แม้ว่าจะเป็นเด็กแรกเกิด หรือเด็กในช่วงวัยไม่เกิน 10 ปี พ่อแม่ไม่ควรมองข้ามประกันภัยที่ให้ความคุ้มครอง “โรคร้ายและโรคมะเร็ง” ตรงนี้ขอขยายความคำว่า “โรคร้าย” ให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า เป็นโรคที่เมื่อไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที จะสร้างความรุนแรงให้กับผู้ป่วย อาจถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้ เช่น โรคชิคุนกุนยา, โรคไข้เลือดออก, โรคไข้สมองอักเสบ โรคปวดข้อยุงลาย, โรคกลุ่มกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด ฯลฯ
ส่วนในเรื่องของความคุ้มครองประกันโรคมะเร็งจะให้ความคุ้มครอง “โรคมะเร็งที่มักพบเจอในเด็ก” เช่น มะเร็งสมองระบบประสาท และไขสันหลัง, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, มะเร็งเม็ดเลือดขาว, มะเร็งนิวโรบลาสโตมา เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองโรคร้ายหรือโรคมะเร็ง “ส่วนใหญ่” จะเป็นลักษณะของการจ่ายตามจริง หรือมีวงเงินแบบเหมาจ่าย แนะนำให้สอบถามเงื่อนไขกับทางบริษัทประกันให้ดีก่อนเสมอ
เนื่องจากประกันสุขภาพเด็กมีความสำคัญมาก ดังนั้นเราจึงได้รวบรวม “แนวทางประเมินเบื้องต้น” เพื่อให้ลูกน้อยของคุณได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่า (เทียบกับค่าเบี้ยที่จ่ายในแต่ละปี) จะมีแนวทางอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
การตรวจสอบสวัสดิการที่ลูกมีอยู่ จะช่วยให้พ่อแม่ “ประหยัดค่าใช้จ่าย” ในการทำประกันได้เยอะมาก ๆ เนื่องจากไม่จำเป็นจะต้องเลือกซื้อกรมธรรม์ที่ครอบคลุมรอบด้าน ที่มีค่าเบี้ยค่อนข้างสูง ยกตัวอย่างเช่น พ่อหรือแม่เป็นข้าราชการอาจจะเลือกซื้อประกันที่ให้ความคุ้มครองเฉพาะโรคร้ายแรงเพียงอย่างเดียวก็ได้
ขอย้ำอีกครั้งว่า “แผนประกันสุขภาพเด็ก” ของแต่ละบริษัทมีความแตกต่างกัน หากต้องการซื้อความคุ้มครองที่อุ่นใจให้กับลูกน้อย อย่ารีบด่วนตัดสินใจเด็ดขาด ให้ค่อย ๆ “เปรียบเทียบความคุ้มครอง” ของแต่ละกรมธรรม์ให้ดี ว่าคุ้มครองเรื่องอะไรบ้าง วงเงินเท่าไหร่ หรือมีเงื่อนไขพิเศษอะไรหรือไม่ เพื่อป้องกันการเกิดประเด็นถกเถียงในภายหลัง
เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกซื้อประกัน แนะนำให้นำข้อมูลต่าง ๆ ที่วางแผนเอาไว้ทั้งเรื่องสุขภาพ ความเสี่ยง สวัสดิการ รวมถึงงบประมาณของพ่อแม่ที่พร้อมจ่ายในแต่ละปี มาเทียบกับแผนประกันอย่างเหมาะสม โดยจะต้องดูรายละเอียดต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วน เช่น ความคุ้มครอง วงเงินคุ้มครองแต่ละกรณี รวมถึงวงเงินความรับผิดส่วนแรกในบางเงื่อนไขด้วย
หากคุณต้องการมอบ “ความคุ้มครอง” ให้กับลูกน้อยของคุณ แนะนำให้ทำทันทีหลังจาก “อายุครบ 30 วัน” เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่าย ภูมิต้านทานค่อนข้างต่ำ แถมระยะเวลาในการเข้ารับการรักษายัง “มากกว่า” ผู้ใหญ่ โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 7-14 วัน
เป็นยังไงกันบ้าง ? พอจะเข้าใจกันแล้วใช่มั้ยว่า “ทำไมประกันสุขภาพของเด็กถึง ‘แพงกว่า’ ของผู้ใหญ่” ไม่ว่าจะด้วยความเสี่ยง ความคุ้มครอง และปัจจัยอื่น ๆ เมื่อรู้แบบนี้แล้วพ่อแม่ควรเลือกซื้อประกันที่เหมาะสมกับลูกน้อย เพราะเมื่อไหร่ที่ลูกเจ็บป่วย จะได้ไม่ต้องพะว้าพะวังกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากเกินไป เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่ายา ฯลฯ ศึกษาเงื่อนไขและประเมินเบื้องต้นก่อนเลือกซื้อประกันให้ดี เพื่อให้ลูกของคุณได้รับความคุ้มครองที่ดีที่สุด
เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่