รู้หรือไม่ว่าตอนนี้รถไฟฟ้า (EV) กลายมาเป็นหนึ่งประเภทรถที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในประเทศไทย นำไปสู่เรื่องที่ว่าการเลือก “ประกันรถยนต์ไฟฟ้า” ที่เหมาะสม กลายมาเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม หลายคนอาจคิดว่า ประกันรถไฟฟ้าก็ไม่ต่างกับประกันรถทั่วไป แต่ความจริงก็คือ เรื่องความคุ้มครองประกันรถยนต์และเงื่อนไขกรมธรรม์นั้นต่างกัน ดังนั้นการเปรียบเทียบประกันรถยนต์จากหลายบริษัทประกันภัยจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด มิสเตอร์ คุ้มค่า จะพาไปดูว่าประกันรถไฟฟ้าคุ้มครองอะไรบ้าง เจ้าไหนให้ความคุ้มครองดีที่สุด ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย
ทำไมต้องซื้อประกันรถไฟฟ้า EV แยกจากรถยนต์ทั่วไป?
หลายบริษัทประกันภัยออกกรมธรรม์เฉพาะของรถ EV เนื่องจากมี “ข้อเสี่ยงพิเศษ” เช่น แบตเตอรี่ ระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์ชาร์จไฟ และอื่น ๆ ที่ไม่อยู่ในประกันรถยนต์ทั่วไป ถ้าอย่างนั้นมาดูจุดต่างสำคัญของกรมธรรม์ EV ที่อัปเดตตั้งแต่ปี 2567 กันก่อนเลย
- คุ้มครองแบตเตอรี่แยกชัดเจนในกรมธรรม์
- ค่าเสื่อมแบตเตอรี่ลดปีละ 10% จนเหลือ 50% หลัง 5 ปี
- บังคับระบุชื่อผู้ขับขี่ (สูงสุด 5 คน) นอกเหนือจากรายชื่อต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (สูงสุด 8,000 บาท)
- ต่อยอดคุ้มครองอุปกรณ์ชาร์จไฟส่วนตัว (Wall‐Charger) ได้
พร้อมที่จะเปรียบเทียบประกันรถยนต์หรือยัง?
หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ
ความแตกต่างของประกันรถไฟฟ้าแต่ละบริษัท มีอะไรบ้าง?
แม้ว่าในปัจจุบันหลายบริษัทประกันภัย จะมีผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์ไฟฟ้าให้เลือกมากมาย แต่ขอย้ำอีกครั้งว่ามีความแตกต่างที่สำคัญ โดยเฉพาะในส่วนของรายละเอียดของความคุ้มครองประกันรถยนต์และเงื่อนไขกรมธรรม์ ดังต่อไปนี้
- คุ้มครองแบตเตอรี่ EV: บางบริษัทให้เคลมเต็มจำนวนโดยไม่หักค่าเสื่อม หากเกิดจากอุบัติเหตุโดยตรง
- บริการฉุกเฉิน: บางบริษัทมักแถมบริการรถยกฉุกเฉิน, รถสำรองระหว่างซ่อม หรือแม้แต่คูปองชาร์จไฟฟรี
- คุ้มครองอุปกรณ์เสริม: ประกันบางเจ้าครอบคลุมถึง Wall Charger หรือสายชาร์จส่วนตัว ขณะที่บ้างเจ้าอาจต้องซื้อเพิ่ม
- รูปแบบการซ่อม: บางบริษัทให้เลือกได้ระหว่างซ่อมอู่ในเครือหรือซ่อมศูนย์ ซึ่งส่งผลต่อค่าเบี้ยประกันโดยตรง
ซึ่งความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ มิสเตอร์ คุ้มค่า อธิบายไปเมื่อข้างต้น สามารถส่งผลต่อความคุ้มค่าโดยรวมของกรมธรรม์ได้โดยตรง เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจซื้อ แนะนำให้เปรียบเทียบประกันรถยนต์ของแต่ละเจ้าให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่ามากที่สุด
เงื่อนไขกรมธรรม์ที่ควรดูให้ดีก่อนซื้อ
แม้ว่าคุณจะทำการเปรียบเทียบประกันรถยนต์มาดีแค่ไหน รวมถึงหาคำตอบซื้อประกันรถไฟฟ้า เจ้าไหนดีที่ตอบโจทย์ความต้องการได้แล้ว อย่าลืมดูในเรื่องของเงื่อนไขกรมธรรม์ด้วย แต่จะมีอะไรที่ต้องดูบ้าง? ตามไปหาคำตอบกันเลย
- ระบุชื่อผู้ขับขี่: หากใช้หลายคนอาจต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก (กรณีคนขับไม่อยู่ในรายชื่อ)
- อัตราค่าเสื่อมแบต: 10% ต่อปี จนถึงเหลือ 50% หลัง 5 ปี อาจเสี่ยงหากซื้อรถเก่า
- คุ้มครอง Wall Charger: สามารถซื้อเพิ่มได้ หากชาร์จที่บ้าน (แนะนำให้ซื้อเพราะมีความเสี่ยงไฟไหม้)
- ซ่อมศูนย์แพงกว่าซ่อมอู่: เบี้ยสูง แต่รับประกันคุณภาพชิ้นส่วน EV โดยเฉพาะ
- ระบุชื่อเจ้าของรถ: กรณีเปลี่ยนผู้ขับขี่ ต้องแจ้งประกันและอาจเสียเพิ่ม
ซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้า ที่ไหนดี?
หากคุณกำลังมองหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์ก่อนตัดสินใจซื้อ แต่ยังเลือกไม่ได้ว่าจะซื้อประกันรถไฟฟ้า เจ้าไหนดี มิสเตอร์ คุ้มค่า รวมดีลเด็ดของแต่ละเจ้า ที่กำลังเป็นที่นิยมมาให้แล้ว โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รู้ใจ (Roojai)
จุดเด่น:
- คุ้มครองแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าสูงถึง 100% ตามเงื่อนไขอายุการใช้งาน
- มีแผนระบุผู้ขับขี่สูงสุด 5 คน ตามข้อกำหนดใหม่
- สามารถเลือกความคุ้มครองเพิ่มเติม สำหรับเครื่องชาร์จที่บ้าน
- มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง
ราคาเบี้ยประกันเริ่มต้น:
- Tesla: ประมาณ 21,863 บาท
- BYD: ประมาณ 8,106 บาท
- MG: ประมาณ 7,679 บาท
- ORA: ประมาณ 8,085 บาท
- NETA: ประมาณ 5,598 บาท
แอกซ่า (AXA)
จุดเด่น:
- คุ้มครองความเสียหายหรือสูญหายต่อเครื่องชาร์จที่บ้าน และสายชาร์จ
- มีบริการ “แอกซ่า โรดไซด์ เซอร์วิส” ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
- คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกจากอุบัติเหตุ เนื่องจากการใช้งานเครื่องชาร์จทั้งที่บ้าน และสถานีชาร์จสาธารณะ
ราคาเบี้ยประกันเริ่มต้น:
- Tesla: ประมาณ 44,000-62,000 บาท
- BYD: ประมาณ 16,000-42,000 บาท
- MG: ประมาณ 14,000-29,000 บาท (ยกเว้น Maxus 9 ประมาณ 47,000 บาท)
วิริยะประกันภัย
จุดเด่น:
- คุ้มครองกรณีรถสูญหายหรือไฟไหม้ ขณะจอดชาร์จแบตเตอรี่
- คุ้มครองรถยนต์ไฟฟ้าและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์
- ความคุ้มครองบุคคลภายนอกกรณีเสียชีวิต หรือบาดเจ็บสูงสุด 10 ล้านบาทต่อครั้ง
- มีศูนย์ซ่อมรถและสาขามากกว่า 160 แห่งทั่วประเทศ
ราคาเบี้ยประกันเริ่มต้น:
- เริ่มต้นที่ 16,900 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นรถและมูลค่ารถ
เลือกประกันรถยนต์ไฟฟ้ายังไงให้คุ้มค่าที่สุด?
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังมองหาประกันรถยนต์ไฟฟ้า ที่ให้ความคุ้มครองคุ้มค่าที่สุด โดยเน้นทั้งด้านความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ และเบี้ยประกันที่เหมาะสม มิสเตอร์ คุ้มค่า ลิสต์แนวทางการเลือกซื้อประกันรถยนต์มาให้แล้ว ตามไปดูกันเลย
รูปแบบการใช้งาน
ก่อนอื่นให้ถามตัวเองให้ดีว่าใช้รถแบบไหน? หากใช้รถทุกวัน เช่น ขับไป-กลับทำงาน ควรเลือกซื้อประกันรถยนต์ ชั้น 1 เพราะให้ความคุ้มครองสูงสุด แต่ถ้าใช้เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวิ่งไม่เกิน 10,000 กม./ปี อาจเลือกแผนชั้น 2+ ที่ครอบคลุมเฉพาะเมื่อมีคู่กรณีแทน
ความคุ้มครองแบตเตอรี่ EV เต็มจำนวน
ให้จำไว้เลยว่า “แบตเตอรี่คือหัวใจของรถ EV” และค่าซ่อมหรือค่าเปลี่ยนแบตอาจสูงถึงหลักแสนบาท ดังนั้นจึงควรเลือกแผนประกันที่คุ้มครองความเสียหายของแบตจากอุบัติเหตุ และควรระบุ “ไม่หักค่าเสื่อมราคา” ในกรณีเกิดเหตุ รวมถึงให้ความคุ้มครองแบตแม้ไม่ได้เกิดจากการชน เช่น ไฟไหม้จากระบบไฟฟ้า เป็นต้น
ความคุ้มครองอุปกรณ์ชาร์จ
ผู้ใช้รถ EV ส่วนใหญ่ มักติดตั้ง Wall Charger ที่บ้าน แน่นอนว่ามีความเสี่ยงเรื่องไฟฟ้าพอสมควร เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร หรือไฟไหม้ ดังนั้นจึงควรมองหาแผนประกันที่คุ้มครอง Wall Charger สูงสุด 30,000-50,000 บาท บางแผนอาจมีความคุ้มครองอุปกรณ์ชาร์จแบบพกพาติดรถด้วย
เทียบแบบซ่อมห้างกับซ่อมอู่ให้เหมาะกับรุ่นรถ
หากคุณใช้รถ EV แบรนด์หลัก เช่น BYD, Tesla หรือ MG เลือกซ่อมห้างดีที่สุด เพราะเทคโนโลยีค่อนข้างซับซ้อน ต้องใช้ช่างเฉพาะทาง แต่ถ้าหากเป็นรถใช้ทั่วไป รุ่นรอง หรือรถอายุเกิน 5 ปี อาจเลือกซ่อมอู่เพื่อเป็นการลดค่าประกันรถไฟฟ้าแทนได้ แนะนำให้ตรวจสอบว่าอู่หรือศูนย์ที่บริษัทประกันรองรับ มีในพื้นที่คุณหรือไม่ เพื่อความสะดวกในการเข้าใช้บริการ
การเลือกประกันรถยนต์ไฟฟ้า EV ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องราคาเบี้ยประกันอีกต่อไป แต่ต้องพิจารณาความคุ้มครองประกันรถยนต์ ที่ตอบโจทย์กับรูปแบบการใช้งานจริง อาทิ ความคุ้มครองแบตเตอรี่ ระบบไฟฟ้า บริการช่วยเหลือฉุกเฉินที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งแต่ละบริษัทมีจุดเด่นที่ต่างกันออกไป แนะนำให้เปรียบเทียบประกันรถยนต์ให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ รวมถึงอ่านรายละเอียดเงื่อนไขกรมธรรม์ให้ถี่ถ้วน เพื่อให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้าของคุณปลอดภัย และคุ้มค่าทุกการเดินทาง
คำจำกัดความ
ค่าเสื่อม | การลดลงของมูลค่าทรัพย์สินถาวรที่ใช้งานไปตามระยะเวลา หรือการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา |
แบรนด์หลัก | เป็นคำศัพท์ทางธุรกิจที่ใช้เพื่ออธิบายชื่อแบรนด์ที่ครอบคลุมเฉพาะเจาะจงซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดยึดหลักสำหรับผลิตภัณฑ์และแบรนด์พื้นฐานทั้งหมด |
อัตราค่าเสื่อมแบต | การลดลงของความสามารถในการเก็บประจุของแบตเตอรี่ตามระยะเวลาและจำนวนครั้งที่ใช้งาน |