ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเช็คค่าเบี้ยประกันรถยนต์ก่อนซื้อรถหรือทำประกันภัย ถือเป็นสิ่งที่เจ้าของรถควรทำอย่างยิ่ง เพราะค่าเบี้ยประกันรถแต่ละรุ่นไม่เท่ากัน บางรุ่นประกันถูก บางรุ่นกลับแพงกว่าที่คิด แล้วอะไรคือ ‘ปัจจัย’ ที่ทำให้ค่าเบี้ยแตกต่างกัน? มิสเตอร์ คุ้มค่า จะพาคุณไปรู้จักกับวิธีเช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์อย่างถูกต้อง พร้อมพาหาคำตอบอื่น ๆ แบบเจาะลึก รวมถึงแนะนำทริคในการเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์ เพื่อเลือกแบบที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
เบี้ยประกันรถ คืออะไร?
ในส่วนของเบี้ยประกันรถ หรือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันภัย เพื่อแลกกับความคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ความเสียหาย หรือการโจรกรรม โดยค่าเบี้ยประกันจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของประกันแต่ละชั้น รุ่นรถยนต์ หรือปีที่ผลิต
‘ปัจจัยเสริม’ ที่ส่งผลต่อราคาค่าเบี้ยประกันรถ
นอกจากปัจจัยหลักแล้ว ยังมี ‘ปัจจัยเสริม’ ที่ส่งผลต่อค่าเบี้ยประกันรถด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่หลายคนมองข้าม แต่บริษัทประกันนำมาใช้ในการประเมินความเสี่ยงและคิดค่าเบี้ย และปัจจัยที่ว่ามีดังนี้
อายุของผู้ขับขี่หลัก
- อายุ 25-60 ปี มักได้เบี้ยที่ถูกกว่า เพราะถือเป็นช่วงวัยที่ขับขี่ปลอดภัย
- ผู้ขับขี่อายุน้อยกว่า 25 หรือมากกว่า 65 ปี อาจมีเบี้ยสูงขึ้น เพราะจุดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
เพศของผู้ขับขี่
- เพศหญิง มักได้รับเบี้ยถูกกว่าเล็กน้อย จากสถิติอุบัติเหตุที่ต่ำกว่าผู้ชาย (บริษัทประกันบางแห่งใช้ข้อมูลนี้เป็นหนึ่งในเกณฑ์)
ประวัติการเคลมประกัน
- หากไม่มีเคลมในปีที่ผ่านมา จะได้รับส่วนลดประวัติดี 10%-50% ยิ่งไม่เคลมนาน เบี้ยยิ่งลด
- แต่ถ้าเคลมบ่อย บริษัทอาจไม่ต่อประกันหรือปรับเบี้ยขึ้น
สถานที่จอดรถประจำ
- จอดในบ้าน ในร่วม หรือที่ปลอดภัย ความเสี่ยงต่ำ เบี้ยต่ำตามไปด้วย
- จอดริมถนนหรือที่เปลี่ยว ความเสี่ยงสูง เบี้ยสูงขึ้น
พฤติกรรมการขับขี่
- หากติดตั้งกล้องติดรถหรือระบบ Telematics อาจได้ส่วนลดพิเศษ
- ขับดี มีวินัย เบี้ยปีถัดไปจะถูกลง
หากเช็คค่าเบี้ยประกันรถยนต์แล้ว พบว่าของคุณเองราคาค่อนข้างแรง จึงอยากมองหาช่องทางในการประหยัดค่าใช้จ่าย โดยที่ไม่ลดความคุ้มครองลงแม้แต่นิดเดียว สามารถทำได้ง่าย ๆ แค่เปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อย เช่น ระบุชื่อผู้ขับขี่, ส่งหลักฐานติดกล้องหน้ารถ หรือเลือกจ่ายแบบเต็มจำนวน แบบนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเบี้ยได้หลายพันบาทต่อปีเลยล่ะ
แน่นอนว่ารถรุ่นใหม่และรถรุ่นเก่า จะมีค่าเบี้ยประกันแตกต่างกันออกไป ด้วยปัจจัยด้าน ‘ปีที่ผลิต’ แต่บางรุ่นรถยนต์ที่ผลิตปีเดียวกัน ก็มีค่าเบี้ยที่ต่างกันด้วย แบบนี้เป็นเพราะอะไร หากคุณกำลังหาคำตอบในประเด็นนี้ ตามไปดูกันต่อด้านล่าง
ทำไมเช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์แล้ว แต่ละรุ่นถึงไม่เท่ากัน?
การเช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์สำหรับรถยนต์แต่ละรุ่น ส่วนใหญ่จะมีค่าเบี้ยที่ไม่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นประกันประเภทเดียวกัน เหตุผลเป็นเพราะว่าบริษัทประกันใช้ ‘ข้อมูลสถิติ’ มาวิเคราะห์ความเสี่ยงของรถแต่ละรุ่น โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย ดังนี้
1. ราคารถและค่าอะไหล่
สำหรับรถรุ่นใหม่ หรือรถหรู ราคาสูง แน่นอนว่าค่าเบี้ยประกันจะสูงตามไปด้วย เพราะค่าใช้จ่ายในการซ่อม รวมถึงการเปลี่ยนอะไหล่สูง ในทางกลับกันหากเป็นรถรุ่นเก่า แต่อะไหล่อาจหายาก บริษัทประกันก็อาจคิดเบี้ยสูงกว่าปกติ (ในบางกรณี) ได้เช่นกัน
ด้วย ‘ปัจจัย’ ต่าง ๆ จึงเป็นเหตุผลที่ผู้เอาประกันควรเปรียบเทียบประกันรถยนต์ให้ดีก่อนซื้อ ทั้งในด้านของการเช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์ และเช็กความคุ้มครองที่จะได้รับ ว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ ตอบโจทย์ความต้องการมากน้อยเพียงใด เพื่อให้คุณอุ่นใจตลอดการเดินทาง
2. อัตราการเกิดอุบัติเหตุของรุ่นรถยนต์นั้น ๆ
บริษัทประกันจะดูสถิติย้อนหลังว่ารุ่นรถยนต์ที่คุณใช้ (รถยนต์คันเอาประกัน) มีแนวโน้มเกิดอุบัติเหตุบ่อยแค่ไหน หากเป็นรุ่นที่พบอุบัติเหตุบ่อย เบี้ยประกันจะสูงตามไปด้วย
มูลนิธิการขับขี่ทางถนนแห่งประเทศอังกฤษ เปิดเผยตัวเลขอุบัติเหตุทางถนน โดยแยกตามยี่ห้อรถยนต์ ปรากฏว่า “สัดส่วนยี่ห้อรถที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ได้แก่ รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ที่มีตัวเลขอุบัติเหตุอยู่ที่ 7,378 ครั้ง และมีสัดส่วนเกี่ยวข้องกับการชน 1 คัน ต่อรถฮอนด้าที่จดทะเบียนเพียง 146 คัน” (ที่มา: เปิดโผ 5 อันดับยี่ห้อรถที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด)
3. ความนิยมของรถรุ่นนั้น (ในหมู่ผู้โจรกรรม)
รถยนต์บางรุ่น เช่น รถ Eco Car หรือรถกระบะ ที่ได้รับความนิยมในตลาดมือสองค่อนข้างมาก มักตกเป็นเป้าหมายของโจร ซึ่งอาจทำให้ค่าเบี้ยประกันสูงตามไปด้วย
4. ระบบความปลอดภัยของรถ
รถที่มีระบบความปลอดภัยทันสมัย เช่น ระบบเบรกอัตโนมัติ กล้อง 360 องศา หรือระบบช่วยจอด ฯลฯ มักมีค่าเบี้ยประกันต่ำกว่า เนื่องจากบริษัทประกันมองว่าความเสี่ยงลดลง
รถรุ่นเก่าเบี้ยประกันถูก แบบนี้ซื้อรถมือสองดีกว่าไหม?
ไม่เสมอไป เพราะการที่รถรุ่นเก่ามีเบี้ยประกันถูกกว่า ไม่ได้หมายความว่าการซื้อรถมือสองจะคุ้มกว่าการซื้อรถรุ่นใหม่ในทุกกรณี โดยเฉพาะในแง่ของ “เบี้ยประกันภัย” ที่หลายคนมักเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย มาดูกันว่าความเป็นจริงเป็นยังไง
รถยนต์รุ่นใหม่ เบี้ยสูงแต่ครอบคลุมกว่า
- มีเทคโนโลยีความปลอดภัยมากกว่า
- ราคาอะไหล่รถยนต์และค่าซ่อมแพง
- บริษัทประกันอาจมีข้อมูลความเสี่ยงไม่มาก ทำให้ตั้งเบี้ยแบบ conservative (ปลอดภัยไว้ก่อน)
รถยนต์รุ่นเก่า เบี้ยถูกแต่ความคุ้มครองลดลง
- มูลค่ารถลดลงแล้ว ทำให้เบี้ยประกันลดลงตาม
- แต่อาจมีอะไหล่หายาก และไม่มีเทคโนโลยีความปลอดภัย
- ประกันชั้น 1 ของบางบริษัทอาจไม่รับ หรือเบี้ยไม่คุ้ม
เปรียบเทียบประกันรถยนต์อย่างไร ให้คุ้มที่สุด?
ต้องบอกก่อนว่าการเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์ จะช่วยให้คุณได้แผนประกันที่คุ้มค่าที่สุด โดยที่ไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันรถ แพงเกินความจำเป็น มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้รวบรวมแนวทางในการเช็กและเปรียบเทียบมาให้แล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ใช้เว็บไซต์เปรียบเทียบเบี้ยประกัน
ปัจจุบันมีหลายเว็บที่ช่วยให้คุณเช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์ได้ง่าย ๆ เพียงกรอกข้อมูลรถ และรายละเอียดผู้ขับขี่ เช่น ปีที่จดทะเบียน, แบรนด์รถ/รุ่นรถยนต์ รวมถึงความต้องการความคุ้มครอง
2. เปรียบเทียบมากกว่าแค่ราคา
หากอยากได้ความคุ้มค่าจากการเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์ แนะนำว่าให้เปรียบเทียบมากกว่าแค่ราคา ให้ดูด้วยว่าประกันแผนนี้คุ้มครองอะไรบ้าง ซ่อมอู่หรือศูนย์ซ่อมรถ รวมถึงมีค่าเสียหายส่วนแรกด้วยหรือไม่
3. สอบถามโปรโมชั่นและส่วนลด
บริษัทประกันหลายแห่งมีโปรโมชั่นพร้อมมอบให้ผู้เอาประกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดประวัติดี (No Claim Bonus) ส่วนลดเมื่อติดกล้องติดรถยนต์ หรือผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือน หากคุณกำลังมองหาช่องทางประหยัดค่าเบี้ย การสอบถามเรื่องโปรและส่วนลดถือว่าตอบโจทย์มาก
ขออธิบายเพิ่มเติมว่า การเช็คค่าเบี้ยประกันรถยนต์ไม่ใช่แค่เรื่องของราคา แต่เป็นการวางแผนความปลอดภัยและการเงินของคุณเอง เพราะรุ่นรถยนต์แต่ละรุ่นมีความเสี่ยง รวมถึงค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน หากคุณกำลังมองหาประกันรถที่เหมาะสม อย่าลืมเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์จากหลายบริษัท พิจารณาทั้งรถรุ่นใหม่และรถรุ่นเก่าอย่างรอบด้าน เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมกับการใช้งานจริงมากที่สุด
คำจำกัดความ
ข้อมูลสถิติ | ตัวเลขหรือข้อเท็จจริงที่แสดงถึงลักษณะของข้อมูลที่รวบรวมมาเพื่อใช้อธิบายเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ |
รถ Eco Car | รถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ออกแบบมาเพื่อประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม |
เทคโนโลยีความปลอดภัย | การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและวิธีการต่าง ๆ เพื่อปกป้องทรัพย์สิน, ข้อมูล, และบุคคลจากการถูกทำร้าย, ขโมย, หรือความเสียหาย |