ธุรกิจ รถเช่า ทำประกันแบบไหน เคลมประกันได้ไหมหากไปเกิดอุบัติเหตุ?

แชร์ต่อ
ธุรกิจ รถเช่า ทำประกันแบบไหน เคลมประกันได้ไหมหากไปเกิดอุบัติเหตุ

หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่ทำธุรกิจรถเช่า หรือบางคนมีรถไม่ค่อยได้ใช้แล้วคิดจะปล่อยให้เช่าขับรถระยะสั้น จำเป็นจะต้องหาข้อมูลด้วยว่า รถเช่า ทำประกันแบบไหน ? เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่า เพราะอย่าลืมว่าประกันรถยนต์นั้นเป็นอีกหนึ่ง “ต้นทุน” ที่เจ้าของธุรกิจต้องคำนวณให้ดี จะมีรายละเอียดที่น่าสนใจอะไรบ้างและเป็นประโยชน์ต่อคุณอย่างไร ? ไปหาคำตอบพร้อม ๆ กับ MrKumka ได้เลย

ไขข้อสงสัย รถเช่า ทำประกันแบบไหน ?

สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่า “รถเช่า” ควรทำประกันแบบไหน ? เราหาคำตอบมาให้เรียบร้อยแล้วจริง ๆ สามารถทำได้ทุกแบบตามต้องการ แต่จะมีเงื่อนไขและรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1

รถเช่าทุกคนสามารถทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ได้ แต่จะมีค่าเบี้ยประกันที่สูงกว่าปกติ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 15-30% ขึ้นอยู่กับรุ่นรถนั่นเอง แล้วรถเช่าแบบไหน ? เหมาะกับการทำประกันประเภทนี้บ้าง ไปดูกันเลย

  • รถใหม่ ที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ
  • รถยนต์ราคา 800,000 บาทขึ้นไป
  • รถยนต์ 1,500 cc ขึ้นไป

กรณีที่รถยนต์ (เช่า) มีประวัติดี ไม่เคยเคลม ไม่เคยชน มีโอกาสที่จะได้รับ “ส่วนลดเบี้ยประกัน” จากบริษัทด้วย แถมยังสามารถต่อประกันภัยภาคสมัครใจ กับบริษัทเดียวกันได้ในปีต่อ ๆ ไป

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ และ 3+

ในกรณีที่รถยนต์ที่ปล่อยเช่าไม่ใช่รถใหม่ แถมตัวคุณเองไม่อยากแบกรับภาระค่าใช้จ่าย (ค่าเบี้ยประกัน) สูงเกินความจำเป็น ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ และ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่สามารถตอบโจทย์ได้เช่นกัน โดยรถเช่าที่เหมาะกับประกันภัยรถยนต์ประเภทดังกล่าว ได้แก่

  • รถยนต์ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป หรือ 10 ปีขึ้นไป
  • รถยนต์ที่ทางเจ้าของอู่รถเช่าเห็นว่า “ปล่อยเช่าไปก็ไม่คุ้ม” เพราะยังไงต้องซ่อมทุกปีอยู่แล้ว
  • รถยนต์ที่ทำประกันเพื่อป้องกันน้ำท่วม ไฟไหม้ เพียงเท่านั้น

ประกันภัยรถยนต์สำหรับรถเช่า

“ประกันรถเช่า” มีข้อแตกต่างจากประกันภัยรถยนต์ทั่วไป ในด้านความคุ้มครองและขอบเขตประกันภัย โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

  1. ประกันภัยรถยนต์พื้นฐาน

    ประกันภัยรถยนต์พื้นฐาน (Collision Damage Waiver หรือ CDW) เป็นประกันภัยรถยนต์ที่มาพร้อมกับรถยนต์คันให้เช่า เช่น พรบ.รถยนต์ และประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 โดยจะให้ความคุ้มครอง “เฉพาะผู้ขับขี่ที่มีชื่ออยู่ในสัญญาเช่าเท่านั้น” นอกจากนี้ยังมีค่าเสียหายส่วนแรก ประมาณ 1,000-5,000 บาท ที่ผู้เช่าจะต้องจ่ายเอง กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ แล้วผู้เช่าเป็นฝ่ายผิด

  2. ประกันรถเช่าแบบพิเศษ

    ประกันรถเช่าแบบพิเศษ (Super Collision Damage Waiver หรือ SCDW) เป็นประกันภัยรถยนต์ที่ผู้เช่าสามารถ “ซื้อความคุ้มครอง” เพิ่มได้ตามความสมัครใจ เช่น ไม่ต้องการจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก หรือคุ้มครองกรณีรถหาย เป็นต้น

ประกันให้ความคุ้มครอง “รถเช่า” ยังไง ?

การทำธุรกิจรถเช่า แม้มองผิวเผินจะดูเหมือน “เสือนอนกิน” แต่ในความจริงแล้วมีความเสี่ยงที่ต้องแบกรับมากมาย แถมยังต้อง “ควักทุน” เพื่อยับยั้งความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการซื้อประกันภัยรถยนต์ที่ครอบคลุม ไปดูกันเลยว่าประกันภัยรถยนต์ ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง ?

ความเสี่ยงจากการใช้รถยนต์ของลูกค้า (ผู้เช่า)

หนึ่งในความเสี่ยงที่จะต้องเตรียมใจเอาไว้เลยคือ “การแบกรับความเสี่ยงในการใช้รถของผู้เช่า” เพราะแต่ละคนล้วนมีพฤติกรรมการขับรถที่แตกต่างกันออกไป หากเจอสายซิ่ง หรือไม่ค่อยมีความชำนาญในการขับขี่สักเท่าไหร่ ประกันภัยรถยนต์จะช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

ความเสี่ยงจากการโจรกรรม

อีกหนึ่งความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้อย่าง คือ “การโจรกรรม” คุณไม่มีทางรู้เลยว่าผู้เช่าจะเอารถของคุณไปจอดที่ไหน เปลี่ยวหรือเปล่า รวมถึงไม่รู้เลยว่า “มิจฉาชีพ” จะแฝงตัวมาในคราบผู้เช่า เพื่อเช่ารถไปขายต่อตอนไหน การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองในเรื่องนี้ ถือว่าลดความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะ

ความเสี่ยงจากการเก็บรักษาของผู้ปล่อยเช่า

หลายคนอาจมองว่าความคุ้มครองในเรื่องนี้ “ไม่จำเป็น” สักเท่าไหร่ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เลย เพราะบางครั้งขั้นตอนการเก็บรักษาอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ เช่น จำนวนรถที่ให้บริการอยู่ในพื้นที่จำกัด อาจส่งผลให้เกิดปัญหาการถอยเข้า-ออก ที่ทำให้เกิดรอยขีดข่วน หรือรอยบุบ เป็นต้น

ทำธุรกิจรถเช่า ต้องบอกบริษัทประกันไหม ?

ต้องบอกก่อนว่าตามปกติแล้ว “รถเช่าจะทำประกันแบบเดียวกัน บริษัทเดียวกัน” ให้กับรถยนต์ที่ให้บริการทั้งหมด แน่นอนว่าบริษัทประกันภัยจะต้องถามอยู่แล้วว่า เป็นรถยนต์ส่วนบุคคล รถสำหรับนิติบุคคล หรือรถเช่า แนะนำว่าให้แจ้งไปตรง ๆ แถมการทำประกันรถยนต์จำนวนมากในรอบเดียว ทำให้ได้รับส่วนลดเพิ่มเติมอีกด้วย

นอกจากนี้ทางบริษัทประกันยังแนะนำให้ “ซื้อประกันภัยแบบไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก” เพิ่มเติม เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจเกิดขึ้น ทั้งนี้ผู้เช่าสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกบริษัทฯ กดดันหรือบังคับแต่อย่างใด

*หมายเหตุ: แนะนำให้สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ถี่ถ้วนซะก่อน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เสียผลประโยชน์ “บางอย่าง” ไปแบบไม่รู้ตัว

อยากทำธุรกิจปล่อยเช่ารถ ต้องรู้อะไรบ้าง ?

ประกันภัยรถยนต์สำหรับรถเช่า ที่ MrKumka.com

การทำธุรกิจปล่อยเช่ารถ ไม่ใช่แค่การเตรียมรถ เตรียมเงิน หรือเตรียมประกันให้พร้อมเท่านั้น แต่ยังมี “ข้อควรรู้” อีกมากมาย ที่เจ้าของกิจการควรทำความเข้าใจให้ดี เราได้ลิสต์ข้อควรรู้ต่าง ๆ มาให้เรียบร้อยแล้ว

ต้องการปล่อยเช่ารถแบบไหน

ปล่อยเช่าเพื่อการดำเนินการ

เป็นการ “ปล่อยเช่าระยะยาว” ให้กับผู้เช่าตามสัญญา หรือพูดง่าย ๆ ว่า “เช่าแบบรายเดือน” และผู้เช่าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าน้ำมันด้วยตัวเอง ผู้ปล่อยเช่ามีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะค่าซ่อมบำรุงรักษา ค่าประกันภัย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวรถ

การปล่อยเช่าลักษณะนี้เหมาะสำหรับ “ผู้ประกอบการรายใหญ่” ที่มีรถปล่อยเช่าหลากหลายรูปแบบ และลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทเอกชน เป็นต้น

ปล่อยเช่าชั่วคราว

เหมาะสำหรับธุรกิจที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว และมีรถให้เช่าหลากหลายรูปแบบ แต่ต้องระวังให้ดีเพราะมีคู่แข่งค่อนข้างเยอะ แนะนำให้วางกลยุทธ์ให้ดี สร้างความแตกต่างหรือความโดดเด่นให้เหนือกว่าคู่แข่งให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นธุรกิจอาจไปไม่รอดได้

ประเมินรายรับ-รายจ่าย

“รายรับ” หลัก ๆ ของธุรกิจปล่อยเช่ารถ จะเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากการให้เช่ารถยนต์ ยิ่งมีลูกค้าเช่ามากเท่าไหร่ ยิ่งมีรายรับมากขึ้นเท่านั้น ส่วนใหญ่จะวัดจาก “อัตราการปล่อยเช่ารถ” โดยทั่วไปควรมีอัตราการปล่อยเช่าอยู่ที่ 70% ขึ้นไป หรือประมาณ 21 วัน แต่เมื่อมีรายรับต้องมีรายจ่ายเป็นเรื่องธรรมดาของการทำธุรกิจ

ดังนั้นคุณจะต้องประเมินรายรับและรายจ่ายให้ดี ว่ามันสมดุลกันหรือไม่ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะ “เข้าเนื้อ” ได้ โดยค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่เจ้าของธุรกิจจะต้องแบกรับ ได้แก่

  • ค่าเช่าสำนักงานและลานจอดรถยนต์
  • ค่างวดเช่าซื้อรถยนต์
  • ค่าประกันภัย พรบ. และภาษีรถยนต์ประจำปี
  • ค่าบำรุงรักษารถยนต์
  • ค่า GPS
  • ค่าจ้างพนักงาน
  • ค่าเดินทาง

รู้ “ความเสี่ยง” แล้วพยายามอุดมันซะ !

อย่างที่บอกไปแล้วว่าธุรกิจปล่อยเช่ารถ มี “ความเสี่ยง” ที่ต้องเผชิญหน้ามากมาย โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดจากการใช้รถของผู้เช่า การโจรกรรม และการเก็บรักษา สิ่งที่สามารถอุดช่องโหว่ และยับยั้งความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้คือ “ประกันรถยนต์” ที่จะเข้ามาช่วยคุณแบกรับค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากการเกิดอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดีนั่นเอง

เช่ารถแต่ละครั้ง ตก “วันละ” เท่าไหร่ ?

ส่วนใหญ่รถเช่าจะมีทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ไม่ว่าคุณจะรถเสีย ต้องการเช่ารถระหว่างรอจัดซ่อม หรือต้องการเช่าเพื่อเดินทางท่องเที่ยว สามารถเลือกใช้บริการรถเช่าได้ ในส่วนของค่าใช้จ่ายหลัก ๆ จะมี “ค่าประกันรถ” ประมาณ 5,000-10,000 บาท ต่อครั้งที่เช่า 4-5 วัน และจะได้รับคืนหลังจากนำรถส่งคืนเรียบร้อยแล้ว

ในส่วนของ “ค่าเช่ารถ” ในแต่ละวัน จะขึ้นอยู่กับ “ประเภทรถ” เป็นหลัก ดังนี้

  • วันละ 500-800 บาท สำหรับรถเล็ก 1,200 cc เช่น Nissan March, Vios, Honda Jazz
  • วันละ 800-1,000 บาท สำหรับรถเล็ก 1,500 cc เช่น Mazda, Toyota Altis, Ford
  • วันละ 1,000 บาทขึ้นไป สำหรับรถยนต์ 7 ที่นั่งขึ้นไป

ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่เรานำมาบอกต่อ เห็นได้ว่า “ประกันภัยรถยนต์” เข้ามามีบทบาทสำคัญ และช่วยลดความเสี่ยงในทุก ๆ ด้านได้อย่างครอบคลุมมากเลยใช่มั้ยล่ะ ? ในกรณีที่คุณเป็นเจ้าของธุรกิจหรือแค่มีรถอยากปล่อยให้เช่าผ่านแอปฯ แม้ว่าจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก ๆ และอุ่นใจกว่าเมื่อรถมีประกัน คงไม่ดีแน่หากต้องแบกรับค่าซ่อม ค่าเสียหายต่าง ๆ ที่อาจตามมาเพียงลำพังเมื่อรถปล่อยให้เช่าแล้วเกิดอุบัติเหตุ

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่